DNA by SPU
  • Home
  • ​Speaker
  • สมัคร #DNAbySPU รุ่นที่ 7
  • Alumni's Opinions
  • DNA JOURNAL
  • INFOGRAPHIC
  • #MottoTH
  • Privacy Policy
  • BLOG DNA7bySPU

#DNAJOURNAL4 #EP7 หวงคือไล่...ให้คือมี

3/10/2019

0 Comments

 
Picture
Picture

​#DNAjournal4 #EP7

หวงคือไล่...ให้คือมี

.

.

ในสมัยก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะสร้างความปั่นป่วนให้โลกใบนี้ มีคำกล่าวในแวดวงธุรกิจว่า “ใครก็ตามที่ควบคุมสื่อได้จะครองโลก”

.

.

สื่อในสมัยนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดของคนมากมาย มากเสียจนกระทั่งชี้นำสังคมได้ว่าควรจะคิดอย่างไร ? ธุรกิจใดมีกระบอกเสียงที่ใหญ่กว่าคู่แข่งขันย่อมเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจเป็นธรรมดา ค่ายเพลงใดต้องการปั้นเพลงไหนให้ติดหูก็แค่จ่ายสื่อเยอะๆ ถ้าท่านใดอยากจะเป็น Celeb หรือคนดังก่อนเข้าวงการก็ต้องยอมจ่ายเงินเป็นค่าออกอากาศ

.

.

เมื่อก่อนโลกใบนี้มีแค่ Paid Media (สื่อจ่ายเงิน) ซึ่งก็คือสื่อหลักที่เรารู้จักกัน เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ และนักสื่อสารทั้งหลายก็เป็น “ผู้เลือก” คือเลือกว่าจะสื่อสารประเด็นอะไร และเลือกว่าจะสื่อสารกับใคร เช่น ถ้าจะส่งข้อความไปยังคนทั่วประเทศก็ต้องออกสื่อช่องนี้เวลานี้ ถ้าจะสื่อสารไปยังคุณหญิงคุณนายที่มีกำลังซื้อก็ต้องลงโฆษณาในนิตยสารนี้

.

.

แต่หลังจาก ทิม เบอร์เนอร์ส- ลี ประดิษฐ์อินเตอร์เน็ตขึ้นมาในโลกนี้ จากเดิมที่สื่อคือ Paid Media เริ่มมีอาณาจักรใหม่เกิดขั้นมา นั่นคือ Own Media (สื่อที่ใครก็เป็นเจ้าของได้) ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของช่องได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงแค่เปิดบัญชี Facebook หรือ Youtube ท่านก็เป็นเจ้าของช่องได้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินมหาศาลและรอสัมปทานเหมือนเมื่อก่อน

.

.

ซึ่งอาณาจักร Owned Media มาพร้อมกับดินแดน Earned Media (สื่อได้เปล่า)ซึ่งก็คือวิธีการที่จะทำให้สื่อที่ท่านมี ขยายเสียงออกไปได้ไกลกว่าเดิมด้วยการ กด Like Comment Share

.

.

โลกธุรกิจเกิดการปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด ธุรกิจยักษ์ใหญ่ถ้าไม่เข้าใจการทำงานและการสอดประสานของ 3 ดินแดนนี้ ก็ต้องใช้จ่ายงบประมาณการสื่อสารมหาศาลแต่ก็ไม่ได้ผลตามที่คาด ในทางกลับกันธุรกิจขนาดเล็กที่เข้าใจและเข้าถึงทฤษฎีนี้ก็ใช้เวลาไม่นานเพื่อสร้างความร่ำรวยได้ไม่ยาก

.

.

การสื่อสารข้อดีและคุณสมบัติของสินค้าออกไปให้คนภายนอกได้รับรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ควรจะสื่อสารอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาที่เราส่งไปไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้รับสาร

.

.

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าในโลกยุคใหม่ นักสื่อสารทั้งหลายไม่ได้เป็น “ผู้เลือก”อีกต่อไป แต่ถูกลดบทบาทลงให้กลายเป็น “ผู้ถูกเลือก” แทน เพราะประชาชนจะเลือกเองว่าจะเปิดฟังท่านเมื่อไหร่ และการจะได้มาซึ่ง Prime time นั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพงอีกแล้ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ ตอนนี้ก็จะมีแต่ Your time อยากเสพสื่อตอนไหน ก็แค่ป้อนคำสั่งและเรียกมันขึ้นมา ถ้ามีโฆษณาแทรกเนื้อหาที่เรากำลังเสพ สิ่งที่ต้องทำคือแค่ Block หรือ Skip ไม่ให้โฆษณามากวนใจ

.

.

ดังนั้นคงไม่สมควรที่จะให้เขาเห็นในสิ่งที่ท่านมีหรือคุณสมบัติที่น่าภาคภูมิใจ แต่จะดีกว่าถ้าให้เขาเห็นในสิ่งที่อยากเห็น รู้ในสิ่งที่สงสัย และแก้ปมสงสัยให้เขาได้เพื่อแสดงถึงองค์ความรู้ที่สั่งสมมาและความเชี่ยวชาญที่ท่านมี
.
.
ถ้าท่านเป็นคุณครูสอนชีวะ ก็อธิบายให้ผู้ฟังได้เห็นว่า ตับ ไต ไส้ พุง ทำงานกันอย่างไร ? ถ้าท่านขายถังดับเพลิงก็แจกแจงให้ฟังว่าอุปกรณ์อะไรที่อยู่ในบ้านจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ถ้าท่านเป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือ ท่านก็ต้องรู้จักรีวิวข้อดีข้อเสียของโทรศัพท์แต่ละรุ่นอย่างจริงใจ

.

.

เพราะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเนื้อหา และถ้าเนื้อหาที่ท่านทำออกมานั้น สร้างประโยชน์ให้ผู้รับสารได้จริง เขาก็อยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของท่านโดยการแชร์ต่อให้คนรอบตัวได้รับรู้ และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือรอใช้บริการของท่านเมื่อมีโอกาส

.

.

การถ่ายทอดเนื้อหาถ้าทำเป็นวิดีโอได้ก็ดี เพราะหนึ่งนาทีของวิดีโอแทนคำกว่าล้านคำ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวิดีโอเท่านั้น มีอีกหลายวิธีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ของท่านออกมาได้ ถ้าท่านถนัดเขียน ก็เขียนบทความออกมา ถ้าท่านถนัดอธิบายด้วยภาพก็ทำเป็น Infographic ถ้าท่านถนัดเล่าเรื่องก็ทำ Podcast เลือกเพียง 1 รูปแบบที่ท่านถนัดที่สุด ไม่ต้องไปทำตามคนอื่น เพราะท่านจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่สุด เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะกับท่าน และคนเราจะสร้างผลงานได้ในพื้นที่ที่ตนถนัดเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องสร้างลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

.

.

หมดยุคแล้วที่จะเก็บ หวง ครอบครององค์ความรู้ที่ท่านมี เพราะอินเตอร์เน็ตทำให้โลกนี้ไม่มีความลับอีกต่อไป ดังนั้นบริหารจัดการเนื้อหาให้ดี ว่าอะไรสมควรจะปล่อยไปในโลกออนไลน์ และอะไรจะดีกว่าถ้าถูกถ่ายทอดแบบออฟไลน์

.

.

คำถามสำคัญคือ เมื่อท่านส่งออกความรู้ที่ท่านมีออกไปฟรีๆ แล้วจะได้อะไรกลับมา ? คำตอบนี้มีอยู่แล้วในนิทานเซน เรื่อง “คนตาบอดถือโคมไฟ”

.

.

มีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดและแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย เมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

.

.

คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

.

.

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ชายที่ถือโคมไฟมีลักษณะเหมือนคนตาบอด พระจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

.

.

คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

.

.

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?" คนตาบอดตอบว่า "เพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

.

.

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์" มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง" "ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

.

.

คนตาบอดอธิบายว่า เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย

.

.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้”

.

.

แล้วท่านล่ะ เริ่มเป็นผู้ให้หรือยัง ?

.

.

#itsyouYOU

.

.

หมายเหตุ
1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU
2. ข้อมูล EP7 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอรรถวิท ปัญญาภิญโญผล ผู้ก่อตั้ง B.A.S. Academy ที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับองค์ความรู้ที่มี เพื่อเปลี่ยนนักเรียนที่ไม่ชอบวิชาชีวะให้มาตกหลุมรักกับวิชาชีวะอีกครั้ง

.

.

#Speaker #DNAbySPU4 9 February 2019

.

.
​
จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
Picture
Picture
0 Comments



Leave a Reply.

    DNAbySPU

    หลักสูตรพัฒนาพันธุกรรม
    ​ทางความคิด

    สาขาการจัดการธุรกิจดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม

    www.DNAbySPU.com
     089-4883655

    Archives

    June 2019
    May 2019
    April 2019
    March 2019
    February 2019
    January 2019
    November 2018
    October 2018
    September 2018
    August 2018
    July 2018
    June 2018
    May 2018
    April 2018
    January 2018
    December 2017
    November 2017
    October 2017
    September 2017

    Categories

    All

    RSS Feed

Location

Contact Us

หลักสูตรพัฒนาพันธุกรรมทางความคิด (DNAbySPU)
สาขาการจัดการธุรกิจดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
เลขที่ 2410/2 ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม 
เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
EMAIL : dnabyspu@gmail.com
TEL:
คุณลภัสรดา โกมุทพงศ (อุ้ม)  โทร: 089-4883655
  • Home
  • ​Speaker
  • สมัคร #DNAbySPU รุ่นที่ 7
  • Alumni's Opinions
  • DNA JOURNAL
  • INFOGRAPHIC
  • #MottoTH
  • Privacy Policy
  • BLOG DNA7bySPU