เหตุผลที่ว่า? .. ทำไมแบรนด์ถึงควรใช้ Instagram มากกว่า Facebookถ้าให้เลือกระหว่าง Facebook กับ Instagram แบรนด์ส่วนใหญ่ก็มักจะเลือก Facebook มากกว่า เนื่องจากการจำนวนผู้ใช้งาน ความง่าย และสะดวกในการใช้ ในขณะที่ Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ล่าสุด เว็บไซต์ selfstartr.com ได้ทำการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Facebook และ Instagram โดยนำมาเปรียบเทียบกัน เพื่อให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่าจริงๆ แล้ว ควรจะใช้ Facebook หรือ Instagram ในการทำตลาด ทั้งนี้ Infographic ของ #DNAbySPU นี้ก็จะเป็นตัวช่วยให้แบรนด์สามารถตัดสินใจได้ว่าควรใช้แพลตฟอร์มไหน สำหรับแคมเปญหรือกิจกรรมนั้นๆ เปอร์เซ็นต์ของ Organic Reach ระหว่างปี 2012 – 2014ในช่วงปี 2012 นักการตลาด หรือแบรนด์ที่ใช้ Facebook ทำตลาด จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า เพราะมี Organic Reach ถึง 11% ทว่า หลังจาก Facebook เริ่มหั่นยอด Organic Reach ลง เพื่อให้แบรนด์ต้องเสียเงิน ก็เหลือ Organic Reach เพียง 4% เท่านั้น สำหรับในปีนี้การทำตลาดด้วย Facebook ก็ยังอยู่ในช่วงวิกฤตเหมือนเดิม แต่ละแบรนด์ก็พยายามงัดกลยุทธ์มาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ถ้าไม่ได้ผล สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการเสียเงินเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ Instagram ในปี 2012 แบรนด์สามารถทำตลาดได้ง่ายกว่า แม้จะไม่ต้องเสียเงิน เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเข้าถึงแล้วอยู่ที่ 13% โดยในปี 2014 ที่ Instagram เปิดให้แบรนด์ซื้อโฆษณา ก็ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า มีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 26% รวมแล้วเพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้ Facebook จะไม่ค่อยสนใจโฆษณา มีเพียง 32% เท่านั้นที่จะมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ในขณะที่ผู้ใช้ Instagram 68% จะตอบสนองกับแบรนด์มากกว่า ซึ่งมากกว่า Facebook ถึง 58 เท่า นักการตลาด กับการใช้ Social Mediaอย่างที่เราทราบกันดีว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด ในกลุ่มนักการตลาดเองก็เช่นกัน 93% ของนักการตลาดใช้ Facebook ในขณะที่มีเพียง 36% ที่ใช้ Instagram ทำตลาด เมื่อดูจากตัวเลขข้างต้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปถ้าคุณอยากจะใช้ Instagram เข้าถึงผู้บริโภค โพสต์แล้วจะมีคนเห็นมากแค่ไหนถ้าโพสต์ใน Facebook อาจมีผู้บริโภคเห็นโพสต์ของคุณเพียง 6% เท่านั้น แต่ถ้าโพสต์ใน Instagram จะมีคนเห็นโพสต์ 100% เพราะถ้าพวกเขาเลือกที่จะติดตามแบรนด์ นั่นหมายความว่าพวกเขายินยอมที่จะเห็นโฆษณา หรือไม่ก็ซื้อโฆษณากับ Instagram ได้เช่นกัน มูลค่าการซื้อสินค้า/ครั้งสุดท้ายแล้วสิ่งที่แบรนด์ต้องการคือ ผลกำไร เมื่อเทียบแล้วผู้ใช้ Facebook ซื้อสินค้าครั้งละประมาณ 55 ดอลลาร์ หรือเกือบๆ 2,000 บาท ส่วนผู้ใช้ Instagram มูลค่าการซื้อสินค้นต่อครั้งจะอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,300 บาท Source : selfstartr.com / marketingoops.com "ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง"
DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
0 Comments
ใช้จิตวิทยาเพื่อให้คนแชร์ : รู้จัก 6 ตัวตนของนักแชร์ก่อนทำ Content การทำ Content Marketing หรือ Social Media Marketing นั้นสิ่งที่มุ่งหวังกันอย่างมากคือการที่จะได้ Earn Media กลับมา โดยเฉพาะการ Shares ออกไปสู่เครือข่ายของตัวเองออกไปมากมายจากคนที่ชอบในเนื้อหานั้น ๆ ออกมา ผลของการแชร์นั้นไม่เพียงจะมีผลต่อแบรนด์ แต่มีผลต่อผู้แชร์ด้วย ซึ่งถ้า content นั้นดีจนมีการแชร์ออกไป ผู้แชร์จะได้รับการตอบสนองจากคนที่ติดตามเพื่อให้ผู้แชร์นั้นได้แชร์เนื้อหาต่าง ๆ ออกมาอีกด้วย ทั้งนี้การแชร์ออกมาจากผู้แชร์นี้ทำให้ตัวตนของผู้แชร์นั้นมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่แชร์ออกมาด้วย เลยเป็นที่มาของ Infographic ที่นำมาให้ได้รู้จักตัวตนทั้ง 6 ของนักเเชร์ โดยที่เเต่ละกลุ่มจะมีเหตุผลที่อยากเเชร์นั้นเเตกต่างกันออกไป ดังนี้ ทั้งนี้เมื่อเข้าใจกลุ่มการแชร์ทั้ง 6 กลุ่มออกมา ที่นี้ก็สามารถใช้วิธีการที่เรียกว่า Persona-Based Approach ในการทำให้เกิดการแชร์เนื้อหาออกไป เพราะกลุ่มที่จะสื่อสารทางการตลาดนั้นย่อมจะตกอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนี้ เพราะฉะนั้นการรู้ว่าจะสร้าง Content แบบไหนเพื่อจับกลุ่มแชร์แบบไหนนั้นสำคัญ สามารถวางแผนการทำ content ให้เหมาะกับช่องทางต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้นี่คือไอเดียคร่าว ๆ ที่จะสามารถเนื้อหาที่จะสร้างการแชร์ได้เยอะขึ้น และสามารถแชร์ให้ตรงกลุ่มออกไปมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้นของแบรนด์ หรือสินค้าและบริการออกไป สู่กลุ่มเป้าหมายให้ได้มากสุด ถ้าใครยังไม่ลองใช้ลองใช้เครืองมือดูว่ากลุ่มคนที่แชร์นั้นเป็นใครแล้วลองสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับการแชร์ขึ้นมาดู เพื่อจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการทำ Content Source : Marketingoops
"ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง" DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม 4 หนังสือและภาพยนตร์แนะนำโดยวิทยากร คุณจิรยศ เทพพิพิธ4 หนังสือและภาพยนตร์แนะนำจากวิทยากรผู้ปลุกกระแสให้ Infographic กับมาอีกครั้ง กับผลงาน infographic รายการคืนความสุข ของท่านนายกฯ คุณจิรยศ เทพพิพิธ Founder and CEO at Infofed วิทยากร Digital Marketing #DigitalMarketingSquad #DNAbySPU 1. 80/20 Principles ผู้เขียน Richard Koch ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ ผู้บริหารหรือคนทำงานทั่วไป หนังสือเล่มนี้ย่อมเหมาะกับคุณ หนังสือที่จะแนะนำวิธีปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวคุณด้วย หลักการ “80/20” หลักการสุดคลาสสิกที่จะช่วยปรับเปลี่ยนและเชื่อมโยงความคิดของคุณให้กลายเป็น”สุดยอดความคิด” 2. Wining Ugly ต้องชนะให้ได้แม้ในวันที่เล่นได้ไม่ดี ผู้เชียน Steve Jamison ,Brad Gilbert เล่มนี้เขียนโดย Steve Jamison และ Brad Gilbert ซึ่งเขาเคยโค้ชให้กับ Andre Agassi ร่วมสิบปี และเป็นคนที่ดันAgassiจากอันดับ 32 ขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง หนังสือพูดถึงเทคนิคการเอาชนะคู่ต่อสู้โดยเน้นด้านจิตใจ (mental) และพูดถึงการเอาชนะหรือควรเล่นอย่างไรกับนักเทนนิสที่มีสไตล์การเล่นรูปแบบต่างๆ เหมาะกับการอ่านเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานร่วมกับผู้คนที่หลากหลายครับ 3.Elon Musk: Tesla, SpaceX, and the Quest for a Fantastic Future ผู้เขียน Ashlee Vance หนังสือที่เล่าประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิด การทำงานและความสำเร็จของ Elon Musk ชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหลังรถยนต์ไฟฟ้าTesla และยานอวกาศ SpaceX 4. ซีรี่ยเรื่อง Silicon Valley
เรื่องราวเกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันสร้างบริษัทด้านไอทีขึ้นมาจากแนวคิดใหม่ใน Silicon Valley ซีรีย์เรื่องนี้เป็นแบบจำลองชั้นดีของคนที่คิดจะสร้าง Startup Business ขึ้นมาเลย เริ่มต้นจากการทำโมเดลธุรกิจโดยที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน พวกเขาจะต้องเจออะไร แก้ปัญหาด้วยวิธีใด Silicon Valley เป็นซีรีย์เกี่ยวกับธุรกิจที่ตลก มุกฮาและแยบยลด้วยไอเดียการทำธุรกิจได้ดีทีเดียว . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง ผู้ชายเเละผู้หญิงมีพฤติกรรมการใช้งานSOCIAL MEDIA และ MOBILE ต่างกันอย่างไร?ด้วยพื้นฐานของพฤติกรรมทั้งเพศชายและเพศหญิงนั้นแตกต่างกันอยู่แล้วไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่การใช้โซเชียลมีเดียที่ทุกวันนี้และการใช้โมบายล์ที่ทั้งสองฝ่ายมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่ต่างกัน เลยเป็นที่มาของ Infographic ที่นำมาให้ดูกันว่า พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียและโมบายล์ด้วยหัวข้อเดียวกันมีความต่างกันมากน้อยขนาดไหน ทาง DNAbySPU ได้จัดทำ Infographic นี้ขึ้นโดยได้ข้อมูลที่ FinancialOnline รวมรวบข้อมูลเอาไว้
source : FinancialOnline / thumbsup
"ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง" DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม รถไฟฟ้าบีทีเอส นับว่าเป็นการคมนาคมที่คนส่วนมากเลือกใช้บริการ ลองมาดูข้อมูลของผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสกันบ้าง ว่าใครเป็นใคร สถานีไหนเป็นสถานียอดฮิต ผู้ใช้บริการส่วนมากนั้นทำอะไร อาชีพอะไร รายได้เท่าไหร่ ข้อมูลที่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ ซึ่งทาง VGI Global Media ก็ได้รวบรวมข้อมูลเอาไว้ #DNAbySPU ไม่พลาดที่จะนำมาทำเป็น Infographic ง่ายๆให้ได้ดูกัน ไปดูกันเลย source : VGI Global Media "ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง"
DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ทำไมเราถึงต้อง Like, Comment และ Share บน Facebook พฤติกรรมผู้บริโภคนั้น เป็นข้อมูลสำคัญที่นักการตลาดที่ต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะได้ทำการตลาดได้อย่างเหมาะสมและตรงกลุ่มมากขึ้น ซึ่งทาง Quicksprout นั้นก็ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้ DNA ได้นำมาจัดทำเป็น Infographic ได้ดังนี้ ทำไมถึง “Like” 44% ของผู้ใช้ Facebook จะคลิก Like วันละครั้ง 29% จะLike วันละหลายๆ ครั้ง เหตุผลที่ 1 เพราะรวดเร็ว และเป็นการแสดงออกว่าเห็นด้วย เหตุผลที่ 2 เพื่อยืนยันสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง จากกาสำรวจจาก 58,000 คน พบว่า การคลิก Like ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน.และคุณยังสามารถคาดเดาได้ว่าคนๆ นั้นคือใคร เช่น เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง มีความน่าเชื่อถือ 93% , อายุเท่าไร เชื่อถือได้ 75% เป็นต้น เหตุผลที่ 3 เพื่อแสดงความเอาใจใส่ จากการสำรวจพบว่า คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับ Social Network มากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับการสนทนาแบบโต้ตอบกันในทันที ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเอาใจใส่จริงๆ เหตุผลที่ 4 Like เพราะคาดหวังสิ่งที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่างตอบแทน เช่น คูปอง หรือข่าวสารจากแบรนด์ที่ตัวเองชื่นชอบ 49% ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่ชอบ 42% ต้องการคูปอง หรือส่วนลด 41% ต้องการรับข่าวสาร ข้อมูลจากแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ 35% ต้องการมีส่วนร่วมกับคอนเท้นต์นั้นๆ 31% เพราะเห็นว่าคอนเท้นต์ หรือโพสของคนๆ นั้น เป็นประสบการณ์ที่ดี 27% เพราเป็นเรื่องที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และน่าสนใจ 21% Like ข้อมูลงานวิจัย หรือผลสำรวจจากแบรนด์ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า-บริการที่เฉพาะเจาะจง 20% เห็นเพื่อน “Like” หรือเป็นแฟนอยู่แล้ว 18% เห็นจากการทำโฆษณาของแบรนด์ (โทรทัศน์, Online และนิตยสาร) 15% ได้รับคำแนะนำจากแบรนด์ ทำไมเราถึง “Comment” เราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างที่จะพูด หรือแสดงความคิดเห็น Moira Burke ได้สำรวจพฤติกรรมของผู้ใช้ Facebook จำนวน 1,200 คน พบว่า การแสดงคิดเห็น คอมเม้นท์ จะเป็นการสร้างความพึงพอใจได้มากกว่าการคลิก Like ทำไมเราถึง “Post” สเตตัส • 10% ของผู้ใช้ Facebook จะอัปเดทสเตตัสใน Facebook เป็นประจำทุกวัน • 4% ของผู้ใช้ Facebook จะอัปเดทสเตตัส วันละหลายๆ ครั้ง • 25% ของผู้ใช้ Facebook ไม่เคยอัปเดทสเตตัสของตัวเองเลย เหตุผลที่ 1 โพสเพื่อคลายความเหงา จากผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่มนักเรียน หรือนักศึกษา จะอัปเดทสเตตัสใน Facebook บ่อยขึ้น เมื่อรู้สึกเหงา แล้วจะมีเหตุผลใดที่ทำให้เราหยุดโพส Facebook นักวิจัยจาก Facebook จึงได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม self-censorship ของผู้ใช้งาน (เขียนข้อความ แต่ไม่เผยแพร่ไปยังคนอื่นๆ หรือเรียกได้ง่ายๆว่า “Only Me”) โดยใช้เวลาติดตามผู้ใช้งาน 3.9 ล้านคน รวม 17 วัน • 71% ของผู้ใช้งานจะพิมพ์ข้อความอย่างน้อย 1 สเตตัส แต่ไม่เปิดเผยไปยังคนอื่นๆ • ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใจไม่โพสสเตตัสหลังจากพิมพ์ไปแล้ว เฉลี่ยคนละ 4.52 ครั้ง และคอมเม้นต์ 3.2 ครั้ง ทำไมถึง “แชร์” จากการสำรวจของ Ipsos เผยว่า • 61% แชร์เรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ • 43% แชร์เรื่องที่คิดว่าสำคัญ • 43% แชร์เรื่องที่สนุกสนาน • 37% แชร์เพื่อแนะนำให้คนอื่นๆ รู้ และเชื่อว่าเป็นความจริง • 30% เพื่อแนะนำสินค้า บริการ ภาพยนตร์ หนังสือ ฯลฯ • 29% แชร์เพราะต้องการสนับสนุน หรือสร้างความน่าเชื่อถือให้องค์กร • 26% แชร์เพราะเห็นว่าแปลก และแตกต่าง • 22% เพื่อให้คนอื่นรู้ว่า คุณกำลังทำอะไร • 20% แชร์เพื่อเปิดประเด็น หรือเริ่มต้นบทสนทนา • 10% แชร์เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้ Source : https://goo.gl/rkLddt , https://goo.gl/gN9zV "ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง"
DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม แนวทางการโฆษณา 4 ช่วงเวลาสำคัญ ในเดือนตุลาคมในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เป็นช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทางสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (MAAT) จึงได้ร่วมหารือกับผู้ประกอบการสื่อโทรทัศน์ และได้แจ้งแนวทางการออกอากาศรายการทีวี โดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลาดังนี้ ช่วงวันที่ 1 – 12 ตุลาคม 2560 เป็นช่วงการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ช่วงวันที่ 13 – 24 ตุลาคม 2560 เป็นช่วงวันคล้ายวันสวรรคต และการถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ช่วงวันที่ 25 – 27 ตุลาคม 2560 เป็นช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ช่วงวันที่ 28 – 29 ตุลาคม 2560 เป็นช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (วันออกทุกข์)
Source : https://goo.gl/krU5j2 , https://goo.gl/N9zvZU
"ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง" DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม การเพิ่มยอดโฆษณาด้วย "รูปภาพ"โฆษณาที่มีแต่บทความหรือข้อความอย่างเดียวนั้น นับว่าเป็นโฆษณาที่มักจะไม่ดึงดูดลูกค้าในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะผลสำรวจชาวเน็ตบนโลกออนไลน์นั้น 94% จะเลือกชมโฆษณามากขึ้น ถ้าหากโฆษณานั้นมีภาพที่สวยหรือ Visual Content อื่นๆที่มากกว่าตัวอักษร สัดส่วนที่สูงเกือบเท่าตัวนี้ถือได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนคนที่กำลังย่ำอยู่กับที่ในการใช้ข้อความหรือบทความที่มีแต่ตัวอักษรอย่างเดียวในการโฆษณาให้ลองปรับเปลี่ยนไปในทางที่สอดคล้องความต้องการของคนในยุคสมัยใหม่ ผลสรุปจากการสำรวจล่าสุดพบว่าโฆษณาที่ใช้ Visual Content จะส่งผลให้แบรนด์ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทาง Email Marketing, Social Media หรือแม้กระทั่งการสร้าง Content เพื่อการโฆษณา แต่สำหรับการสร้าง Visual Content ให้เข้มข้นและสามารถดึงดูดความสนใจได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เนื่องจากธุรกิจเกือบครึ่ง (49% ของกลุ่มตัวอย่าง) นั้นได้ระบุเอาไว้ว่ามีพนักงานที่ดูแลงาน Content Marketing เพียงคนเดียว แถมนักการตลาดส่วนใหญ่ (75%) ก็ยอมรับว่าองค์กรของตัวเองนั้นไม่มีขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพ และความคุ้มค่าของการสร้าง Visual Content ขึ้นมายังสูงกว่า Content ทั่วไปถึง 7 เท่าตัว ที่เห็นได้ชัดก็คือการที่มีผลสำรวจที่พบว่า “รูปภาพ” ช่วยให้มนุษย์เข้าใจสารได้เร็วกว่าข้อความหรือตัวอักษรถึง 60,000 เท่า ขณะที่วิดีโอคือรูปแบบ Content ที่นักการตลอดบอกว่าให้ค่า ROI ดีที่สุด โดย 87% ของนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จในการทำ Content Marketing ล้วนแล้วต้องผลิตและพัฒนา Content ที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน "ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง" DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว "ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง" DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม Source : https://goo.gl/uAaRh3 , https://goo.gl/jZZSXA
|
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
August 2018
Categories |