3 เว็บไซต์รวบรวมเทรนด์โลกในการหาไอเดียมาต่อยอดธุรกิจ3 เว็บไซต์รวบรวมเทรนด์โลกในการหาไอเดียมาต่อยอดธุรกิจ แนะนำโดยช่างภาพแฟชั่นมืออาชีพและแฟชั่นเพื่อสังคม อันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับเทรนท์ที่น่าสนใจทั่วโลกจาก Trendhunter.com คุณธีระฉัตร โพธิสิทธิ์ วิทยากร Endless Creativity #CreativeSquad #DNAbySPU2 1. TRENDHUNTER.COM The #1 largest Trends and Trend Spotting community, Innovation. Fashion Trends, Trend Reports, Style, Gadgets, Tech, Pop Culture, Art, Design. 2. ADWEEK.COM Breaking News in Advertising, Media and Technology 3. ADSOFTHEWORLD.COM
เว็บไซต์รวบรวมภาพ วีดีโอและแคมเปญโฆษณาของแบรนด์สินค้าและจากองค์ต่างๆทั่วโลก . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
1 Comment
เหตุผลที่ว่า? .. ทำไมแบรนด์ถึงควรใช้ Instagram มากกว่า Facebookถ้าให้เลือกระหว่าง Facebook กับ Instagram แบรนด์ส่วนใหญ่ก็มักจะเลือก Facebook มากกว่า เนื่องจากการจำนวนผู้ใช้งาน ความง่าย และสะดวกในการใช้ ในขณะที่ Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ล่าสุด เว็บไซต์ selfstartr.com ได้ทำการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Facebook และ Instagram โดยนำมาเปรียบเทียบกัน เพื่อให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่าจริงๆ แล้ว ควรจะใช้ Facebook หรือ Instagram ในการทำตลาด ทั้งนี้ Infographic ของ #DNAbySPU นี้ก็จะเป็นตัวช่วยให้แบรนด์สามารถตัดสินใจได้ว่าควรใช้แพลตฟอร์มไหน สำหรับแคมเปญหรือกิจกรรมนั้นๆ เปอร์เซ็นต์ของ Organic Reach ระหว่างปี 2012 – 2014ในช่วงปี 2012 นักการตลาด หรือแบรนด์ที่ใช้ Facebook ทำตลาด จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า เพราะมี Organic Reach ถึง 11% ทว่า หลังจาก Facebook เริ่มหั่นยอด Organic Reach ลง เพื่อให้แบรนด์ต้องเสียเงิน ก็เหลือ Organic Reach เพียง 4% เท่านั้น สำหรับในปีนี้การทำตลาดด้วย Facebook ก็ยังอยู่ในช่วงวิกฤตเหมือนเดิม แต่ละแบรนด์ก็พยายามงัดกลยุทธ์มาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ถ้าไม่ได้ผล สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการเสียเงินเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ Instagram ในปี 2012 แบรนด์สามารถทำตลาดได้ง่ายกว่า แม้จะไม่ต้องเสียเงิน เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเข้าถึงแล้วอยู่ที่ 13% โดยในปี 2014 ที่ Instagram เปิดให้แบรนด์ซื้อโฆษณา ก็ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า มีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 26% รวมแล้วเพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้ Facebook จะไม่ค่อยสนใจโฆษณา มีเพียง 32% เท่านั้นที่จะมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ในขณะที่ผู้ใช้ Instagram 68% จะตอบสนองกับแบรนด์มากกว่า ซึ่งมากกว่า Facebook ถึง 58 เท่า นักการตลาด กับการใช้ Social Mediaอย่างที่เราทราบกันดีว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด ในกลุ่มนักการตลาดเองก็เช่นกัน 93% ของนักการตลาดใช้ Facebook ในขณะที่มีเพียง 36% ที่ใช้ Instagram ทำตลาด เมื่อดูจากตัวเลขข้างต้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปถ้าคุณอยากจะใช้ Instagram เข้าถึงผู้บริโภค โพสต์แล้วจะมีคนเห็นมากแค่ไหนถ้าโพสต์ใน Facebook อาจมีผู้บริโภคเห็นโพสต์ของคุณเพียง 6% เท่านั้น แต่ถ้าโพสต์ใน Instagram จะมีคนเห็นโพสต์ 100% เพราะถ้าพวกเขาเลือกที่จะติดตามแบรนด์ นั่นหมายความว่าพวกเขายินยอมที่จะเห็นโฆษณา หรือไม่ก็ซื้อโฆษณากับ Instagram ได้เช่นกัน มูลค่าการซื้อสินค้า/ครั้งสุดท้ายแล้วสิ่งที่แบรนด์ต้องการคือ ผลกำไร เมื่อเทียบแล้วผู้ใช้ Facebook ซื้อสินค้าครั้งละประมาณ 55 ดอลลาร์ หรือเกือบๆ 2,000 บาท ส่วนผู้ใช้ Instagram มูลค่าการซื้อสินค้นต่อครั้งจะอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,300 บาท Source : selfstartr.com / marketingoops.com "ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง"
DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ใช้จิตวิทยาเพื่อให้คนแชร์ : รู้จัก 6 ตัวตนของนักแชร์ก่อนทำ Content การทำ Content Marketing หรือ Social Media Marketing นั้นสิ่งที่มุ่งหวังกันอย่างมากคือการที่จะได้ Earn Media กลับมา โดยเฉพาะการ Shares ออกไปสู่เครือข่ายของตัวเองออกไปมากมายจากคนที่ชอบในเนื้อหานั้น ๆ ออกมา ผลของการแชร์นั้นไม่เพียงจะมีผลต่อแบรนด์ แต่มีผลต่อผู้แชร์ด้วย ซึ่งถ้า content นั้นดีจนมีการแชร์ออกไป ผู้แชร์จะได้รับการตอบสนองจากคนที่ติดตามเพื่อให้ผู้แชร์นั้นได้แชร์เนื้อหาต่าง ๆ ออกมาอีกด้วย ทั้งนี้การแชร์ออกมาจากผู้แชร์นี้ทำให้ตัวตนของผู้แชร์นั้นมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่แชร์ออกมาด้วย เลยเป็นที่มาของ Infographic ที่นำมาให้ได้รู้จักตัวตนทั้ง 6 ของนักเเชร์ โดยที่เเต่ละกลุ่มจะมีเหตุผลที่อยากเเชร์นั้นเเตกต่างกันออกไป ดังนี้ ทั้งนี้เมื่อเข้าใจกลุ่มการแชร์ทั้ง 6 กลุ่มออกมา ที่นี้ก็สามารถใช้วิธีการที่เรียกว่า Persona-Based Approach ในการทำให้เกิดการแชร์เนื้อหาออกไป เพราะกลุ่มที่จะสื่อสารทางการตลาดนั้นย่อมจะตกอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนี้ เพราะฉะนั้นการรู้ว่าจะสร้าง Content แบบไหนเพื่อจับกลุ่มแชร์แบบไหนนั้นสำคัญ สามารถวางแผนการทำ content ให้เหมาะกับช่องทางต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้นี่คือไอเดียคร่าว ๆ ที่จะสามารถเนื้อหาที่จะสร้างการแชร์ได้เยอะขึ้น และสามารถแชร์ให้ตรงกลุ่มออกไปมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้นของแบรนด์ หรือสินค้าและบริการออกไป สู่กลุ่มเป้าหมายให้ได้มากสุด ถ้าใครยังไม่ลองใช้ลองใช้เครืองมือดูว่ากลุ่มคนที่แชร์นั้นเป็นใครแล้วลองสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับการแชร์ขึ้นมาดู เพื่อจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการทำ Content Source : Marketingoops
"ใช้ DigitalMarketing เพื่อให้เป็นภาพจำ และ เป็น DNA ของตัวเอง" DNAbySPU.com #DNAbySPU2 #itsyouYOU เพราะการเป็นคุณ มันพิเศษที่สุดแล้ว ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร #DNAbySPU คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม 4 หนังสือและภาพยนตร์แนะนำโดยวิทยากร คุณจิรยศ เทพพิพิธ4 หนังสือและภาพยนตร์แนะนำจากวิทยากรผู้ปลุกกระแสให้ Infographic กับมาอีกครั้ง กับผลงาน infographic รายการคืนความสุข ของท่านนายกฯ คุณจิรยศ เทพพิพิธ Founder and CEO at Infofed วิทยากร Digital Marketing #DigitalMarketingSquad #DNAbySPU 1. 80/20 Principles ผู้เขียน Richard Koch ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ ผู้บริหารหรือคนทำงานทั่วไป หนังสือเล่มนี้ย่อมเหมาะกับคุณ หนังสือที่จะแนะนำวิธีปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวคุณด้วย หลักการ “80/20” หลักการสุดคลาสสิกที่จะช่วยปรับเปลี่ยนและเชื่อมโยงความคิดของคุณให้กลายเป็น”สุดยอดความคิด” 2. Wining Ugly ต้องชนะให้ได้แม้ในวันที่เล่นได้ไม่ดี ผู้เชียน Steve Jamison ,Brad Gilbert เล่มนี้เขียนโดย Steve Jamison และ Brad Gilbert ซึ่งเขาเคยโค้ชให้กับ Andre Agassi ร่วมสิบปี และเป็นคนที่ดันAgassiจากอันดับ 32 ขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง หนังสือพูดถึงเทคนิคการเอาชนะคู่ต่อสู้โดยเน้นด้านจิตใจ (mental) และพูดถึงการเอาชนะหรือควรเล่นอย่างไรกับนักเทนนิสที่มีสไตล์การเล่นรูปแบบต่างๆ เหมาะกับการอ่านเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานร่วมกับผู้คนที่หลากหลายครับ 3.Elon Musk: Tesla, SpaceX, and the Quest for a Fantastic Future ผู้เขียน Ashlee Vance หนังสือที่เล่าประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิด การทำงานและความสำเร็จของ Elon Musk ชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหลังรถยนต์ไฟฟ้าTesla และยานอวกาศ SpaceX 4. ซีรี่ยเรื่อง Silicon Valley
เรื่องราวเกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันสร้างบริษัทด้านไอทีขึ้นมาจากแนวคิดใหม่ใน Silicon Valley ซีรีย์เรื่องนี้เป็นแบบจำลองชั้นดีของคนที่คิดจะสร้าง Startup Business ขึ้นมาเลย เริ่มต้นจากการทำโมเดลธุรกิจโดยที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน พวกเขาจะต้องเจออะไร แก้ปัญหาด้วยวิธีใด Silicon Valley เป็นซีรีย์เกี่ยวกับธุรกิจที่ตลก มุกฮาและแยบยลด้วยไอเดียการทำธุรกิจได้ดีทีเดียว . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
August 2018
Categories |