DNA by SPU
  • Home
  • ​Speaker
  • สมัคร #DNAbySPU รุ่นที่ 8
  • Alumni's Opinions
  • DNA JOURNAL
  • INFOGRAPHIC
  • #MottoTH
  • Privacy Policy
  • BLOG DNA7bySPU

#DNAJOURNAL4 #EP10 Shadow Profile เมื่อระบบของ Facebook เข้าใจเรา มากกว่าเราเข้าใจตนเอง

3/31/2019

0 Comments

 
Picture
Picture
#DNAjournal4 #EP10

Shadow Profile เมื่อระบบของ Facebook เข้าใจเรา มากกว่าเราเข้าใจตนเอง

.

.

มีคำกล่าวจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า “ถ้าอยากรู้ประวัติของตนเอง จงลงเล่นการเมือง เพราะขั้วตรงข้ามจะหามาแม้แต่สิ่งที่เราลืมไปแล้วก็ตาม” แต่ในตอนนี้ทุกคนสามารถถูกขุดคุ้ยข้อมูลต่างทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงานและเรื่องที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ (เช่น เบอร์บัญชี จำนวนเงินฝาก)

.

.

เชื่อแน่ว่าคนไทยเกือบทุกคนเป็นเจ้าของบัญชี Facebook ซึ่งเป็นหนึ่งในโซเชียลมีเดียที่มีสมาชิกอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากท่านจะตื่นตาตื่นใจกับ Content มหาศาลที่เพื่อนๆ ของท่านผลิตออกมา ไม่ว่าจะเป็น รูปถ่าย วิดีโอ คำพูดคมๆ จนถีงการบ่นด่าเรื่องต่างๆ อีกหนึ่งสิ่งที่จะสร้างความประหลาดใจคือ “ Facebook รู้เรื่องส่วนตัวเราได้อย่างไร ?”

.

.

“ช่วยเราให้คะแนนสถานที่แห่งนี้” “คนที่คุณอาจรู้จัก” ข้อความเหล่านี้เคยผ่านตาพวกเรา และสร้างความฉงนสงสัยไม่น้อย ว่าปัญญาประดิษฐ์บังเอิญล่วงรู้กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตเราได้อย่างไร ? ทั้งๆ ที่เราไม่ได้บอกผ่านทางการอัพรูปหรือเช็คอินเลย หรือว่าจริงๆ เป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่จะให้มีระบบการติดตามข้อมูลของผู้ใช้

.

.

ประเด็นดังกล่าวถูกจุดมาจากบทความของ Kashmir Hill คอลัมนิสต์ของ Gizmodo ที่ใช้คำเพื่อบรรยายในสิ่งที่ Facebook ทำว่าคือ “Shadow Profile” หรือ “โปรไฟล์เงา” ซึ่งทาง Facebook ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เพราะคำนี้เหมือน Facebook รวมหัวกันทำอะไรลับหลังสมาชิก

.

.

เธออธิบายว่าโดยทั่วไปเรามักจะคิดว่าโซเชียลมีเดียหรือแอปต่างๆ จะเข้าถึงเฉพาะ “ข้อมูลที่เราบอก” ทั้งอย่างเต็มใจ เช่น อัพเดทสเตตัส เช็คอิน โพสต์รูป เช่น ฝังสคริปต์ในเพจที่เราเข้าไปอ่านเป็นประจำ ฝังพิกเซลเพื่อจดจำสินค้าที่เราดูแล้วใช้มาเป็นฐานข้อมูลเพื่อทำ Remarketing แต่ในความเป็นจริงแล้วโซเชียลมีเดียสามารถตั้งค่าให้ล่วงรู้ข้อมูลที่เราไม่ได้เป็นคนบอก แต่คนอื่นบอกอีกด้วย

.

.

สมมุติท่านเช็คอินในสถานที่หนึ่ง ระบบจะทำการตรวจจับคนที่เช็คอินว่ามีใครที่เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของท่านบ้าง ที่เช็คอินสถานที่เดียวกับท่าน รวมถึงระยะเวลาและการเคลื่อนไหว (เพราะท่านอนุญาตให้ระบบสามารถตรวจจับได้ในกรณีที่ใช้งาน GPS) ระบบจะนำข้อมูลทั้งหมด เพื่อประเมินความเป็นไปได้และเดาสุ่มว่า ท่านมีความเกี่ยวข้องกับคนนี้หรือไม่ และประมวลออกมาเป็น “คนที่ท่านอาจรู้จัก”

.

.

พูดง่ายๆ Shadow Profile ก็คือ นักสืบที่ทำงานอย่างหนักเพื่อสืบค้นข้อมูล และนำสิ่งที่ได้ทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน และคาดเดาความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

.

.

เราคงเคยเห็นโฆษณารณรงค์ไม่ให้แสดงข้อมูลส่วนตัวลงในโซเชียล เพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ถ้าข้อมูลส่วนตัวของเราถูกเปิดเผย โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้เปิดเผยเอง แต่คนอื่นเปิดเผย เราจะป้องกันตัวอย่างไร ?

.

.

มาตรการป้องกันปัญหานี้ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่ในช่วงที่ Mark Zuckerberg ให้การกับวุฒิสมาชิกสหรัฐเกี่ยวกับการใช้ข้อมูล เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งที่ Donald Trump เป็นผู้ชนะ ในประเด็น Shadow Profile Mark ตอบว่า “ผมไม่คุ้นเคยกับ Shadow Profile มาก่อนเลย” แต่ในภาพถ่ายโต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์ของเขา มีคนสังเกตว่าเขาเอาเทปใสปิดช่องไมค์โครโฟนและกล้องไว้ ซึ่งบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าเขารู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า Shadow Coding ในโลกนี้ แต่เขาได้นำมาใช้กับ Facebook ที่เขาสร้างขึ้นหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป

.

.

โดยสรุปคือเราแทบจะไม่สามารถป้องกัน Shadow Profile ได้เลย เพราะ Facebook บอกว่าเมื่อสมาชิกกดยืนยันลบบัญชีแล้ว ระบบจะทำการลบข้อมูลทุกอย่างภายใน 90 วัน (แต่ไม่รู้ว่าสำรองข้อมูลไว้หรือเปล่า) แต่เราสามารถจำกัดความเสียหายได้ วิธีง่ายๆ คือเลิกเล่นเกมที่อยู่ใน Facebook เลือกคนที่จะรับเป็นเพื่อน และบอกคนใกล้ตัวให้ตระหนักถึงประเด็นนี้ ก่อนที่จะให้ข้อมูลแก่ Facebook

.

.

เพราะคงไม่มีใครอยากให้มีกล้องนั่งเล่นที่เชื่อมต่อกับระบบ Wifi ตั้งอยู่ในบ้าน ดังนั้นนี่อาจเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รอนักพัฒนาหรือสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ออกสินค้าหรือบริการเพื่อแก้ไขปัญหานี้

.

.

#itsyouYOU

.

.

หมายเหตุ
1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU
2. ข้อมูล EP.10 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอาทิตย์ ธำรงธัญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็ตทรี จำกัด และพิธีกรรายการเกาเหลาไอที มาอธิบายถึงความอันตรายของการโดนจารกรรมข้อมูลและสิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งและไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้นๆ

.

.

#Speaker #DNA4bySPU 16February 2019

.

.

จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
Picture
Picture
0 Comments

#DNAJOURNAL4 #EP9 Influencer คนตัวเล็ก เสียงดัง และต้องทำความเข้าใจ

3/25/2019

0 Comments

 
Picture
Picture
#DNAjournal4 #EP9

Influencer คนตัวเล็ก เสียงดัง และต้องทำความเข้าใจ

.

.

ยุคนี้เป็นหนึ่งในยุคสมัยที่นักการตลาดและนักบริหารจัดการแบรนด์ได้ยากที่สุด ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วถ้าจะสร้างแบรนด์ให้มีความเชื่อถือ สูตรสำเร็จที่มักทำกันคือผลิตหนังโฆษณาสักชิ้นให้ดูน่าเชื่อถือ แล้วไปซื้อมีเดียให้มากที่สุด ยาวที่สุด บ่อยที่สุด เพราะแบรนด์ใดอยู่บนสื่อที่มีราคาแพงมากเท่าไร ยิ่งกล้าใช้เงินเท่าไร แบรนด์ยิ่งมีความน่าเชื่อถือเท่านั้น

.

.

แต่ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้ความลับไม่มีในโลก แบรนด์ใดทำการตลาดเก่งและสร้างชื่อเสียงได้ดี แต่ถ้าสินค้าไม่มีคุณภาพ ก็เตรียมโดนถอนรากถอนโคนจากชาวเน็ตที่รวมใจกันได้เลย และผู้บริโภคในยุคนี้เริ่มตั้งคำถามในความน่าเชื่อถือของแบรนด์ พวกเขาไม่เชื่อสื่อ ดารา หนังโฆษณา ที่เงินสามารถซื้อได้อีกต่อไป ทำให้แบรนด์ที่มีเงินถุงเงินถังสามารถสร้างได้แค่ขั้น Awareness แต่ไปไม่ถึงขั้น Brand Preference และ Engagement

.

.

ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการรู้ข้อมูลของจริง ประสบการณ์จริง อะไรดีก็ชม อะไรไม่ดีก็แฉ นักการตลาดจึงหาวิธีการใหม่ในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ นั่นคือ แทนที่จะพูดผ่านปากของดารา นักแสดง แต่พูดผ่านปากของ “Influencer”

.

.

แล้ว Influencer คือใคร ? ว่าง่ายๆ คือ “ผู้นำความคิด ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” อาจไม่โด่งดังไปทั่วประเทศจนได้ลงหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าเป็นคนในวงการต้องรู้จักคนนี้แน่นอน ซึ่งแตกออกไปได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่องเที่ยว หนัง เพลง เครื่องเสียง จักรยาน ร้านปิ้งย่าง จนกระทั่งพ่อบ้านใจไม่กล้า

.

.

สาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความเชื่อใจใน Influencer มากกว่าสื่อโฆษณาก็คือ “ความเป็นกันเอง” เพราะ Influencer ก็พูดจาเหมือนผู้บริโภคส่วนใหญ่ เดินดินกินข้าวแกงเหมือนคนทั่วไป เป็นเหมือนเพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าคนที่อยู่ไกลตัว ไม่เหมือนเซเลบริตี้หลายคนที่สุภาพจนน่ากลัว พูดจาฉลาดเกินมนุษย์

.

.

ในประเทศไทยก็มีการใช้ Influencer มาสักพักแล้ว แต่ไม่ได้ใช้แบบที่ยืนยิ้มถ่ายรูปสินค้าเพื่อเอารูปไปประกอบการโฆษณาเฉยๆ แต่ให้เขา “สร้างเนื้อหา” (Create Content) เพื่อนำไปประกอบเป็นส่วนหนึ่งของ Content Marketing เพื่อผูกเรื่องราวให้มีความน่าเชื่อถือ โดยที่ผู้บริโภคไม่รู้สึกโดนคุกคามมากนัก

.

.

แต่นักการตลาดและนักบริหารแบรนด์ยังรู้สึกว่า Influencer ก็คือ Media ชนิดหนึ่ง เป็นกล่องเปล่ากล่องหนึ่งที่จะใส่อะไรไปก็ได้หลังจากที่จ่ายเงินแล้ว และคาดว่าจะได้ผลลัพธ์กลับมาในรูปของ Awareness และ Engagement คือต้องได้ยอดไลค์และยอดแชร์เท่านั้น มีคนพูดถึงในโซเชียลเท่านี้

.

.

วิธีการตกลงกับ Influencer เพื่อสร้างเนื้อหาของแบรนด์ที่ถูกต้องนั้น จะต้องไม่เป็นในรูปแบบของการรับคำสั่ง แต่จะต้องทำงานร่วมกัน เพราะ Influencer ก็ได้รับความนิยมเพราะเนื้อหาที่เขาผลิตออกมา ดังนั้นเขารู้ดีที่สุดว่าเขาควรจะออกแบบเนื้อหาอย่างไร ขึ้นต้นยังไง เอาสินค้าลงช่วงไหน ควรจะปิดการขายอย่างไร ?

.

.

Influencer แต่ละคนคงมีจินตภาพในหัวแล้วว่าต้องลงสินค้าเมื่อไหร่ เพราะถ้าเขาทำเนื้อหาออกมาไม่ดี ขายของมากเกินไปจนน่าเกลียดและมีผู้ติดตามก็ลดน้อยลง และเมื่อผู้ติดตามน้อยลงแบรนด์ก็จะถอนโฆษณา ดังนั้นนักการตลาดจึงควรให้โจทย์กว้างๆ และให้ Influencer ตีความและถ่ายทอดออกมาเอง

.

.

ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้งสายการบิน Virgin Airline และธุรกิจมากมายภายใต้ Virgin Group กล่าวไว้ว่า “ลูกค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้สำคัญเกินกว่าพนักงานบริการ เพราะเมื่อบริษัทดูแลให้พนักงานมีความสุข เขาจะดูแลให้ลูกค้ามีความสุขเอง” เช่นเดียวกันกับการใช้งาน Influencer เมื่อเขาต้องทำงานอย่างอึดอัดและไร้ความสุข เขาจะสร้างผลงานที่สร้างความสุขให้ท่านได้อย่างไร ?

.

.

#itsyouYOU

.

.

หมายเหตุ
1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU
2. ข้อมูล EP.9 ต่อยอดจากการบรรยายของ
คุณชนัญญา เตชจักรเสมา Point of View: Youtuber นักเล่าเรื่อง ผู้ทลายกำแพงวรรณคดีไทย ที่ให้เกียรติมาแชร์ประสบการณ์และเล่าแนวคิด วิธีการสร้าง Content อย่างไรให้น่าสนใจในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลเปลี่ยนไปอย่างรวดเเร็ว

.

.

#Speaker #DNA4bySPU 9 February 2019

.

.
​
จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
Picture
Picture
0 Comments

#DNAJOURNAL4 #EP8 “MarTech” เทคโนโลยีการตลาด ใช้ให้เป็น เห็นกำไร

3/18/2019

0 Comments

 
Picture
Picture
#DNAjournal4 #EP8

“MarTech” เทคโนโลยีการตลาด ใช้ให้เป็น เห็นกำไร

.

.

ทุกวันนี้ไม่ว่าคนในวงการไหนๆ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วและฉับพลัน ไม่ว่าจะเป็นคนในสาย Hardware ที่อุปกรณ์จะมีราคาถูกลงเรื่อยๆ แบบทบต้นทบดอกตามกฏของ Moore’s law นายใหญ่แห่ง Intel ที่ทำนายว่าชิพหรือสมองกลในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือจะมีความรวดเร็วขึ้น 1 เท่าตัวในทุก 2 ปี ทำให้ท่านเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในราคาที่แสนแพงตอนต้นปี พอผ่านไป 2 ปีมีราคาแค่ครึ่งเดียว

.


.

ด้วยอานิสงส์ของการที่สมองกลมีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น คนทั่วโลกพยายามอย่างสุดความสามารถในการพัฒนา Software และ Application ด้านการบริหารจัดการธุรกิจอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ท่านสามารถ สร้าง จัดการ วิเคราะห์ และบริหารธุรกิจที่ท่านมีได้ดียิ่งขึ้นในราคาที่ถูกลง

.


.

มีสถิติบันทึกไว้ว่าก่อนปี 2014 โลกใบนี้มีจำนวน Marketing Technology 1,900 โซลูชั่นส์ แต่ถึงทุกวันนี้ (ปี 2019) โลกมีถึง 3,800 โซลูชั่นส์ให้ผู้บริหารและนักการตลาดทั่วโลกได้เลือกใช้ตามความต้องการทั้งในรูปแบบฟรีและเสียเงิน

.


.

การที่มี Business Solution ให้เลือกเยอะคือสิ่งดี เพราะสะท้อนว่าตอนนี้ผู้กำหนดกลไกราคาไม่ใช่นักพัฒนา แต่ได้ย้ายฝั่งมาที่ผู้บริโภค ทำให้นิยามได้ว่ากลายเป็นตลาดของผู้บริโภคอย่างแท้จริง แต่การมีเยอะเกินไปก็มีข้อเสีย คือ เราไม่รู้จะเลือกใช้แอพอะไรทุ่นแรง จึงเลือกใช้ตามที่คนอื่นเขาใช้กัน

.


.

นักพัฒนาบางกลุ่มเข้าใจแนวโน้มนี้ จึงออกสินค้าและบริการที่ดีและฟรีให้ผู้บริโภคใช้งาน โดยมีจุดประสงค์ในการกระตุ้นจำนวนผู้ใช้ให้เป็นหนึ่งในแอพติดเครื่อง และไปขอเงินเพิ่มจากนักลงทุน โดยอ้างว่าเมื่อมีคนจำนวนมากมาที่เรา แล้วค่อยหา Business Model ใหม่ที่จะสร้างรายได้ภายหลัง แต่ในความเป็นจริงมีหลายโซลูชั่นส์ต้องปิดตัวไปเพราะไม่สามารถหารูปแบบที่เหมาะสมได้ เมื่อธุรกิจมีแต่รายจ่ายออกไป ไม่มีรายได้เข้ามา ก็ปิดตัวไปเสียดีกว่า

.


.

หนึ่งในปัญหาคลาสสิคของนักการตลาด คือรู้ว่า MarTech นั้นดี แต่นึกไม่ออกว่าจะเอามาปรับใช้กับธุรกิจเราอย่างไร ? แน่นอนว่าหลักการเลือกใช้เครื่องมือแต่ละตัวนั้นไม่มีสูตรตายตัว แต่คงพอจะชี้ทางได้ในระดับหนึ่ง

.


.

ประเภทของ MarTech แบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่ 1. Advertising & Promotion: เป็นเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการบริหารจัดการแผนการโฆษณาและวางแผนโปรโมท 2. Content & Experience: เทคโนโลยีที่ช่วยในการสร้างคอนเทนต์และมอบประสบการณ์ดิจิทัลโดยไม่ต้องจ่ายเงินราคาแพง 3. Social & Relationships: เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการสานสัมพันธ์กับบุคคล เช่น CRM 4. Commerce & Sales: เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Sales และ E-commerce 5. Data: เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้และการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Analytics ต่างๆ และ 6. Management: การบริหารจัดการทีม การบริหารจัดการ Workflow

.


.

หลังจากศึกษาแต่ละประเภทดีแล้ว ลองปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ดู คือสำรวจดูว่ามีโซลูชั่นส์ไหนส่งเสริมกับ “พันธกิจ” ขององค์กรท่านบ้าง เพราะท่านไม่มีทางเลือกคู่ค้าได้เลย ถ้าท่านยังตอบไม่ได้ว่าองค์กรของท่านถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ? ถ้าท่านตั้งองค์กรมาเพื่อให้บริการส่งของได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำที่สุด เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลติดตามสินค้าก็เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าท่านเป็นองค์กรที่รับทำโฆษณาออนไลน์แต่อยากให้องค์กรมีความคล่องตัวสูง เทคโนโลยีการบริหารจัดการทีมก็เป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

.


.

การรู้พันธกิจขององค์กร จะช่วยให้การทดลองเทคโนโลยีง่ายขึ้น ผู้บริหารและนักการตลาดจะรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณว่าเครื่องมือใดสามารถเกื้อหนุนเป้าหมายนั้นได้มากกว่า ทำให้สามารถโฟกัสไปที่เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดได้ง่ายกว่าเดิม

.


.
​

และถ้าท่านสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดกับพันธกิจของท่านแล้ว อย่าลืมลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วย เพราะเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่สามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ และคนอย่างเดียวก็ไปได้ไม่ไกลพอ ถ้าขาดเครื่องมืออันทรงพลัง

.

.

เมื่อทั้งเทคโนโลยีและคนทำงานสอดประสานกัน ถึงจะสร้างผลงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพได้ ดังนั้นจงอย่าลืมเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้พัฒนาบุคลากรด้วย เพื่อลดค่าเสียโอกาสในการที่ซื้อของมาแล้วแต่คนในบ้านกลับใช้ไม่เป็น เหมือนลู่วิ่งรุ่นใหม่ที่ซื้อมาราคาแพง แต่พอผ่านไปก็มีหน้าที่แค่เอาไว้ตากผ้าและตั้งโชว์

.

.

#itsyouYOU

.

.

หมายเหตุ
1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU
2. ข้อมูล EP.8 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณจอมทรัพย์ สิทธิพิทยา
ผู้ก่อตั้งบริษัท EXZY Company Limited ที่มาแนะนำถึงเคล็ดไม่ลับในการเลือกหยิบจับโซลูชั่นต่างๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ โดยที่ต้นทุนไม่สูงมาก เพื่อก้าวให้ไกลกว่าที่คู่แข่งจะตามทัน

.

.

#Speaker #DNA4bySPU 9 February 2019

.

.
​

จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
Picture
Picture
0 Comments

#DNAJOURNAL4 #EP7 หวงคือไล่...ให้คือมี

3/10/2019

0 Comments

 
Picture
Picture

​#DNAjournal4 #EP7

หวงคือไล่...ให้คือมี

.

.

ในสมัยก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะสร้างความปั่นป่วนให้โลกใบนี้ มีคำกล่าวในแวดวงธุรกิจว่า “ใครก็ตามที่ควบคุมสื่อได้จะครองโลก”

.

.

สื่อในสมัยนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดของคนมากมาย มากเสียจนกระทั่งชี้นำสังคมได้ว่าควรจะคิดอย่างไร ? ธุรกิจใดมีกระบอกเสียงที่ใหญ่กว่าคู่แข่งขันย่อมเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจเป็นธรรมดา ค่ายเพลงใดต้องการปั้นเพลงไหนให้ติดหูก็แค่จ่ายสื่อเยอะๆ ถ้าท่านใดอยากจะเป็น Celeb หรือคนดังก่อนเข้าวงการก็ต้องยอมจ่ายเงินเป็นค่าออกอากาศ

.

.

เมื่อก่อนโลกใบนี้มีแค่ Paid Media (สื่อจ่ายเงิน) ซึ่งก็คือสื่อหลักที่เรารู้จักกัน เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ และนักสื่อสารทั้งหลายก็เป็น “ผู้เลือก” คือเลือกว่าจะสื่อสารประเด็นอะไร และเลือกว่าจะสื่อสารกับใคร เช่น ถ้าจะส่งข้อความไปยังคนทั่วประเทศก็ต้องออกสื่อช่องนี้เวลานี้ ถ้าจะสื่อสารไปยังคุณหญิงคุณนายที่มีกำลังซื้อก็ต้องลงโฆษณาในนิตยสารนี้

.

.

แต่หลังจาก ทิม เบอร์เนอร์ส- ลี ประดิษฐ์อินเตอร์เน็ตขึ้นมาในโลกนี้ จากเดิมที่สื่อคือ Paid Media เริ่มมีอาณาจักรใหม่เกิดขั้นมา นั่นคือ Own Media (สื่อที่ใครก็เป็นเจ้าของได้) ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของช่องได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงแค่เปิดบัญชี Facebook หรือ Youtube ท่านก็เป็นเจ้าของช่องได้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินมหาศาลและรอสัมปทานเหมือนเมื่อก่อน

.

.

ซึ่งอาณาจักร Owned Media มาพร้อมกับดินแดน Earned Media (สื่อได้เปล่า)ซึ่งก็คือวิธีการที่จะทำให้สื่อที่ท่านมี ขยายเสียงออกไปได้ไกลกว่าเดิมด้วยการ กด Like Comment Share

.

.

โลกธุรกิจเกิดการปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด ธุรกิจยักษ์ใหญ่ถ้าไม่เข้าใจการทำงานและการสอดประสานของ 3 ดินแดนนี้ ก็ต้องใช้จ่ายงบประมาณการสื่อสารมหาศาลแต่ก็ไม่ได้ผลตามที่คาด ในทางกลับกันธุรกิจขนาดเล็กที่เข้าใจและเข้าถึงทฤษฎีนี้ก็ใช้เวลาไม่นานเพื่อสร้างความร่ำรวยได้ไม่ยาก

.

.

การสื่อสารข้อดีและคุณสมบัติของสินค้าออกไปให้คนภายนอกได้รับรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ควรจะสื่อสารอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาที่เราส่งไปไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้รับสาร

.

.

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าในโลกยุคใหม่ นักสื่อสารทั้งหลายไม่ได้เป็น “ผู้เลือก”อีกต่อไป แต่ถูกลดบทบาทลงให้กลายเป็น “ผู้ถูกเลือก” แทน เพราะประชาชนจะเลือกเองว่าจะเปิดฟังท่านเมื่อไหร่ และการจะได้มาซึ่ง Prime time นั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพงอีกแล้ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ ตอนนี้ก็จะมีแต่ Your time อยากเสพสื่อตอนไหน ก็แค่ป้อนคำสั่งและเรียกมันขึ้นมา ถ้ามีโฆษณาแทรกเนื้อหาที่เรากำลังเสพ สิ่งที่ต้องทำคือแค่ Block หรือ Skip ไม่ให้โฆษณามากวนใจ

.

.

ดังนั้นคงไม่สมควรที่จะให้เขาเห็นในสิ่งที่ท่านมีหรือคุณสมบัติที่น่าภาคภูมิใจ แต่จะดีกว่าถ้าให้เขาเห็นในสิ่งที่อยากเห็น รู้ในสิ่งที่สงสัย และแก้ปมสงสัยให้เขาได้เพื่อแสดงถึงองค์ความรู้ที่สั่งสมมาและความเชี่ยวชาญที่ท่านมี
.
.
ถ้าท่านเป็นคุณครูสอนชีวะ ก็อธิบายให้ผู้ฟังได้เห็นว่า ตับ ไต ไส้ พุง ทำงานกันอย่างไร ? ถ้าท่านขายถังดับเพลิงก็แจกแจงให้ฟังว่าอุปกรณ์อะไรที่อยู่ในบ้านจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ถ้าท่านเป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือ ท่านก็ต้องรู้จักรีวิวข้อดีข้อเสียของโทรศัพท์แต่ละรุ่นอย่างจริงใจ

.

.

เพราะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเนื้อหา และถ้าเนื้อหาที่ท่านทำออกมานั้น สร้างประโยชน์ให้ผู้รับสารได้จริง เขาก็อยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของท่านโดยการแชร์ต่อให้คนรอบตัวได้รับรู้ และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือรอใช้บริการของท่านเมื่อมีโอกาส

.

.

การถ่ายทอดเนื้อหาถ้าทำเป็นวิดีโอได้ก็ดี เพราะหนึ่งนาทีของวิดีโอแทนคำกว่าล้านคำ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวิดีโอเท่านั้น มีอีกหลายวิธีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ของท่านออกมาได้ ถ้าท่านถนัดเขียน ก็เขียนบทความออกมา ถ้าท่านถนัดอธิบายด้วยภาพก็ทำเป็น Infographic ถ้าท่านถนัดเล่าเรื่องก็ทำ Podcast เลือกเพียง 1 รูปแบบที่ท่านถนัดที่สุด ไม่ต้องไปทำตามคนอื่น เพราะท่านจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่สุด เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะกับท่าน และคนเราจะสร้างผลงานได้ในพื้นที่ที่ตนถนัดเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องสร้างลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

.

.

หมดยุคแล้วที่จะเก็บ หวง ครอบครององค์ความรู้ที่ท่านมี เพราะอินเตอร์เน็ตทำให้โลกนี้ไม่มีความลับอีกต่อไป ดังนั้นบริหารจัดการเนื้อหาให้ดี ว่าอะไรสมควรจะปล่อยไปในโลกออนไลน์ และอะไรจะดีกว่าถ้าถูกถ่ายทอดแบบออฟไลน์

.

.

คำถามสำคัญคือ เมื่อท่านส่งออกความรู้ที่ท่านมีออกไปฟรีๆ แล้วจะได้อะไรกลับมา ? คำตอบนี้มีอยู่แล้วในนิทานเซน เรื่อง “คนตาบอดถือโคมไฟ”

.

.

มีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดและแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย เมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

.

.

คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

.

.

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ชายที่ถือโคมไฟมีลักษณะเหมือนคนตาบอด พระจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

.

.

คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

.

.

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?" คนตาบอดตอบว่า "เพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

.

.

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์" มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง" "ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

.

.

คนตาบอดอธิบายว่า เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย

.

.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้”

.

.

แล้วท่านล่ะ เริ่มเป็นผู้ให้หรือยัง ?

.

.

#itsyouYOU

.

.

หมายเหตุ
1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU
2. ข้อมูล EP7 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอรรถวิท ปัญญาภิญโญผล ผู้ก่อตั้ง B.A.S. Academy ที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับองค์ความรู้ที่มี เพื่อเปลี่ยนนักเรียนที่ไม่ชอบวิชาชีวะให้มาตกหลุมรักกับวิชาชีวะอีกครั้ง

.

.

#Speaker #DNAbySPU4 9 February 2019

.

.
​
จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
Picture
Picture
0 Comments

#DNAJOURNAL4 #EP6 รู้อะไรไม่สู้...รู้จักตนเอง

3/3/2019

0 Comments

 
Picture
Picture

#DNAjournal4 #EP6

รู้อะไรไม่สู้...รู้จักตนเอง

.

.


โลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเป็นฟันเพืองสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากความเจริญด้านวัตถุที่จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแล้ว วิธีคิดหรือนิยามความสำเร็จก็แปรเปลี่ยนไปด้วย

.


.

ในโลกยุคเก่าการที่ผู้คนและธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยปัจจัยด้านเวลา ผสมคลุกเคล้ากับความมุมานะ ตั้งใจ อดทน และรอคอยเมื่อถึงเวลาอันสมควร ถึงจะได้รับโอกาสให้ยืนอยู่บนเวทีท่ามกลางแสงไฟ และถ้าผู้คนเหล่านั้นเป็นของจริง เขาจะวิ่งไปถึงเส้นชัย

.


.

ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีคิดและสิ่งที่ดี เพราะความสำเร็จคงไม่มาถึงถ้าไร้ซึ่งความพยายาม แต่ในโลกยุคใหม่อาจจะไม่ทันการ เพราะมีเศรษฐีรุ่นใหม่ที่สร้างตัวตนได้ในเวลาไม่กี่เดือน สร้างความร่ำรวยได้ในเวลาไม่กี่ปี ทั้งๆ ที่ในโลกยุคก่อนอาจต้องใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิตถึงจะผลิกชีวิตได้ คำถามคือพวกเขาทำได้อย่างไร ?

.


.

หากท่านมีเวลาอยากให้ลองศึกษาวิธีคิดของพวกเขาดู โดยจับแต่ละคนมายืนหน้ากระดานและลองศึกษาชีวิตพวกเขาแต่ละคนอย่างเจาะลึก แล้วท่านจะพบกับ “สูตรสำเร็จ” ที่คนสำเร็จมีคล้ายกัน

.


.

คำว่าสูตรสำเร็จในที่นี้ไม่ใช่สูตร 1 2 3 เหมือนคอร์สมหัศจรรย์ที่ทุกท่านเคยเห็นกันทั่วไป แต่ประกอบด้วยสิ่งธรรมดาที่นิทานอีสปสอนเรามา คือ ความตั้งใจ และพรแสวง และอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกยุคนี้คือ “การรู้จักตนเอง”

.

.


คนประสบความสำเร็จยุคใหม่ที่เป็นไอคอนของยุคสมัย ล้วนแต่รู้จักตนเองทั้งสิ้น และรู้ที่ทางของเขาว่าจะสร้างผลงานได้อย่างไร ? เหมือนนักแสดงภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ดที่รู้คาแรคเตอร์ของตนเอง และหยั่งรู้โดยธรรมชาติว่า บทบาทไหนควรจะรับเล่น และบทบาทใดจะดีกว่าถ้าตัวเขาไม่ได้แสดง

.


.

เมื่อใดที่ท่านพาตัวเองไปยืนอยู่บนเวทีที่สมควร ท่านจะมีพลังงานสร้างสรรค์อย่างที่สุด ทำงานได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความทุ่มเทเต็มร้อย และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แต่ถ้าท่านยืนอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสมกับความสามารถท่าน แม้ปัญหาเท่าขี้ผง ท่านก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่

.


.

ทุกท่านทราบดีว่า สตีฟ จ๊อบส์ เป็นคนคิดสินค้าที่เปลี่ยนโลก แต่จากปากคำของคนที่ทำงานร่วมกับเขา สตีฟ จ๊อบส์ มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีในระดับผู้ใช้งานเท่านั้น เป็นที่น่าสงสัยว่าหัวเรือใหญ่ของบริษัทสินค้าเทคโนโลยีกลับไม่ค่อยจะรู้เรื่องเทคโนโลยีได้ยังไง ?

.


.

คำตอบอาจเป็นได้ว่า เขารู้ดีว่าเขาควรยืนอยู่ที่ใดและทำอะไร ? เขารู้ดีว่าเขาจะสร้างผลงานได้จากจุดแข็งเท่านั้น ป่วยการและเสียเวลาที่จะสร้างผลงานจากจุดอ่อน เขาจึงลงมือบริหารบริษัทและตัวตนโดยการไม่ไปนำทีมโปรแกรมเมอร์ให้คิดตามเขา แต่เขาตั้งคำถามให้โปรแกรมเมอร์คิดว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ยังไง ?

.


.
​

หลายคนคิดว่ารู้จักตนเองดีแล้ว แต่ส่วนมากมักคิดผิด เพราะท่านไม่มีทางเห็นตัวเองได้ว่าท่านเก่งในด้านใด เสมือนท่านไม่ได้ส่องกระจกจะไม่มีทางเห็นเงาตนเอง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ฟังความเห็นจากคนรอบข้าง และเก็บเอามาคิดว่าคนรอบข้างท่านให้ความเห็นเชิงเยินยอหรือพูดความจริง

.

.

ท่านเป็นนักทำหรือนักวางแผน ? ท่านเป็นผู้ที่เรียนรู้ด้วยการอ่านหรือการฟัง ? ท่านสร้างผลงานได้ดีเมื่อท่านทำงานคนเดียวหรือทำเป็นทีม ? เมื่อท่านฟังจากคนอื่นและเฝ้าสังเกตตนเองจนสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้

.

.

ท่านจะตอบคำถามที่ใหญ่ที่สุดได้ว่า “ที่ทางของท่านในโลกใบนี้คือที่ใด ?”

.

.

#itsyouYOU

.

.

หมายเหตุ
1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU
2. ข้อมูล EP6 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ตลาดดอทคอม TARAD.COM นักลงทุน และนายกสมาคม E-COMMERCE ที่มาชวนคิดให้เราใส่ใจในการทำ Business plan สิ่งที่หลายคนมองข้ามไป แต่เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ

.

.

#Speaker #DNA4bySPU 26 January 2019

.

.

จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
Picture
Picture
0 Comments

    DNAbySPU

    หลักสูตรพัฒนาพันธุกรรม
    ​ทางความคิด

    สาขาการจัดการธุรกิจดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม

    www.DNAbySPU.com
     089-4883655

    Archives

    June 2019
    May 2019
    April 2019
    March 2019
    February 2019
    January 2019
    November 2018
    October 2018
    September 2018
    August 2018
    July 2018
    June 2018
    May 2018
    April 2018
    January 2018
    December 2017
    November 2017
    October 2017
    September 2017

    Categories

    All

    RSS Feed

Powered by Create your own unique website with customizable templates.
  • Home
  • ​Speaker
  • สมัคร #DNAbySPU รุ่นที่ 8
  • Alumni's Opinions
  • DNA JOURNAL
  • INFOGRAPHIC
  • #MottoTH
  • Privacy Policy
  • BLOG DNA7bySPU