#DNAjournal2 #EP6
. . The 4th wave of marketing “คลื่นลูกที่ 4 ของการตลาด” . . ในปี ค.ศ. 1980 Alvin Toffler นักอนาคตวิทยาและอดีตบรรณาธิการของนิตยสาร Fortune ได้เขียนหนังสือ “The Third Wave” ที่จะฉายภาพให้ผู้อ่านได้มองเห็นถึงภาพใหญ่ของการเคลื่อนไหวทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ว่ามีพัฒนาการและความเป็นมาอย่างไร โดยเขาเลือกใช้สัญลักษณ์ "คลื่น" เพราะสื่อถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และจะจางหายไปเมื่อมีคลื่นลูกใหม่เกิดมาแทนที่ . . โดยคลื่นแต่ละลูกจะสะท้อนถึงเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตของมนุษย์ ซึ่งเชื่อมโยงเข้ากับรากฐานการผลิต ความเป็นไปในสังคม ระบบเศรษฐกิจและการทำธุรกิจในช่วงเวลาของคลื่นระลอกนั้น ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นคลื่น 3 ลูกด้วยกัน . . คลื่นลูกที่ 1 คือ “เทคโนโลยีเกษตรกรรม” เริ่มตั้งแต่วันที่มนุษย์หยุดล่าสัตว์และพืชผักผลไม้ และหันมาตั้งถิ่นฐานทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ทำให้เกิดการรวมกลุ่ม ก่อให้เกิดการสร้างสังคมและวัฒนธรรม เริ่มจากระดับหมู่บ้านจนไปถึงระดับประเทศ ในช่วงเวลานี้เครื่องมือสร้างความมั่งคั่ง คือ ที่ดินและเเหล่งผลิตเกษตรกรรม . . ในปีค.ศ. 1760 ประเทศอังกฤษประสบความสำเร็จในการนำเอาเครื่องจักรไอน้ำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องจักรทอผ้าและ ใช้ถ่านหินเป็นพลังงานทางการผลิต นับเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นลูกที่ 2 คือ “เทคโนโลยีอุตสาหกรรม” ที่เน้นไปที่การผลิตจำนวนมากเพื่อตอบสนองตลาดขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดการพัฒนาของภาคการขนส่งและกระจายสินค้าไปยังช่องทางต่างๆ ในช่วงเวลานี้ผู้ที่เป็นต่อ คือ ผู้ที่ครอบครองโรงงานขนาดใหญ่และทรัพยากรที่มหาศาล . . คลื่นลูกที่ 3 คือ “เทคโนโลยีสารสนเทศ” เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อมีการประดิษฐ์คิดค้นคอมพิวเตอร์ขึ้นและมีความพยายามในการทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกัน เพื่อให้ผู้คนในแต่ละมุมโลกเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในเครือข่ายที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดการหลั่งไหลของข้อมูล ซึ่งส่งผลให้เกิดการสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ได้อย่างกว้างขวาง . . แนวคิดของ Alvin Toffler ได้สร้างแรงบันดาลใจอย่างมากต่อ Steve Case หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท America Online (AOL) ที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้อุตสาหกรรมออนไลน์และธุรกิจดอตคอม เป็นมาตรฐานของระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ในปีค.ศ 2015 เขาได้ต่อยอดแนวความคิดนี้และเขียนหนังสือชื่อ The Third Wave: An Entrepreneur’s Vision of the Future แต่ในหนังสือเล่มนี้จะเน้นไปที่ระลอกคลื่นอินเตอร์เน็ต ในขณะที่หนังสือของ Alvin Toffler เน้นไปที่เทคโนโลยีของอุตสาหกรรม . . Steve Case ได้ให้ความเห็นว่า ในช่วงเวลาปัจจุบัน (2016) โลกได้ขับเคลื่อนไปสู่คลื่นลูกที่ 3 นั่นคือ “ยุคของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค” นั่นคือ ประชากรโลกนับหลายพันล้านคนเชื่อมโยงกันผ่าน Social Media ที่มีการเชื่อมต่อแบบยิ่งยวดอยู่ตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยี Mobile Internet 5G กำลังจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2020 โดยมีขีดความสามารถในการส่งข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยความเร็วสูงกว่า 4G อย่างน้อย 10 เท่า . . เมื่อโลกกำลังสิ้นสุดยุคอุตสาหกรรมและกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีถูกพันเข้ากับสังคมข้อมูลข่าวสาร ทำให้ความรู้เกี่ยวกับการตลาดที่ท่านเรียนรู้มาในโลกยุคเก่า คงไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปในยุคสมัยนี้ ดังนั้นท่านจะต้องทำการตลาดอย่างไร ? . . หลักสูตร #DNAbySPU2 ได้รับเกียรติจากคุณ สโรจ เลาหศิริ Chief Marketing Officer แห่ง Rabbit’s Tale ดิจิทัลเอเจนซีที่น่าจับตาที่สุดแห่งยุค มาช่วยถอดรหัสแนวคิดการตลาดที่จะสร้างคุณค่าให้ธุรกิจของท่าน สามารถรับมือเข้ากับคลื่นของการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที . . Philip Kotler หนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุดต่อนักการตลาดทั่วโลก ได้ให้ความเห็นในหนังสือล่าสุด Marketing 4.0 ของเขาว่าการเข้าสู่ยุคดิจิทัลนั้นไม่ใช่แค่การเข้ามาของ Digital Marketing แต่มันคือการเปลี่ยนระบบการตลาดที่ทุกท่านคุ้นเคยไปอย่างสิ้นเชิง . . Marketing 1.0 เป็นยุคเริ่มต้นที่ผู้ประกอบการเริ่มผลิดสินค้าออกมาจำหน่าย จึงต้องทำการแจกแจงออกมาเป็นแนวคิด 4P เพื่อง่ายต่อการเข้าใจ อันประกอบด้วย Product (สินค้า) Price (การกำหนดราคา) Place (การหาช่องทางจำหน่าย) Promotion (การสื่อสารให้คนเข้าใจ) โดยเนื้อหาของการสื่อสารการตลาดจะแข่งขันกันด้วย “คุณสมบัติการใช้งานในขั้นที่เหนือกว่า” เช่น แข็งกว่า ถูกกว่า หนากว่า ทนกว่า . . Marketing 2.0 เป็นยุคของการเปลี่ยนมุมมองจากผลิตและหาวิธีขายมาเป็น “การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Consumer Centric) จึงต้องวิวัฒน์แนวคิด 4P เดิมมาเป็น 4C แต่พูดในมุมของลูกค้ามากขึ้น คือ Consumer (การมองว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นลูกค้า) ท่านจึงต้องเลือกกลุ่มลูกค้าหลัก แล้วสร้างสินค้าที่ลูกค้านั้นต้องการ Cost (ขายในราคาที่ลูกค้ากลุ่มนั้นรับได้) Convenience (ขายในช่องทางที่ลูกค้าสะดวก) Communication (สื่อสารกับลูกค้าในภาษาที่เค้าต้องการรับรู้) โดยเนื้อหาของการสื่อสารการตลาดจะเน้นในแนวทางสร้างอารมณ์ร่วมกับลูกค้าให้คล้อยตาม . . Marketing 3.0 เป็นยุคแห่งการเข้าถึง “จิตวิญญาณของมนุษย์” (Human Spirit) เช่น แนวคิด CRM (Customer Relationship Management) ที่ถูกพัฒนาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าแล้ว จะต้องวิวัฒน์สู่ CEM (Customer Experience Management) หรือการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดกับลูกค้าโดยการนำเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ เข้าบริการและสื่อสารกับลูกค้า ทั้ง Online Offline มาควบรวมกันเพื่อส่งมอบ ประสบการณ์แบบเดียวกัน หรือการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) อาจไม่ลึกซึ้งพออีกต่อไป ต้องวิวัฒน์สู่การเป็น CSV (Creating Share Value) คือ การนำการเปลี่ยนแปลงโดยชักชวนทุกภาคส่วน ทั้งระบบนิเวศของธุรกิจให้เติบโตและเติมคุณค่าไปด้วยกัน . . Marketing 4.0 เป็นยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดสังคมที่เชื่อมต่อคนทั้งโลกเข้าด้วยกันอย่างไร้พรมแดน ผู้บริโภคในยุคนี้มีรูปแบบไลฟ์สไตล์ และอุปนิสัยต่างจากผู้บริโภคที่เราเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสามารถรวมพลังในการก่อให้เกิดกระแสต่างๆ ทั้งในทางบวกและทางลบด้วยพลังของมวลชนและความเร็วของการเดินทางของข้อมูล ลูกค้ามีช่องทางและข้อมูลข่าวสารมากพอที่จะค้นหาข้อมูลที่แท้จริง ดังนั้น “คุณภาพของสินค้าจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป” ถ้าสินค้าไม่ดีจริงและใช้การโฆษณาเพื่อบิดเบือนข้อมูลย่อมจะโดนกระแสลงโทษจากโลกออนไลน์ แต่ถ้าสินค้าดีจริงโลกออนไลน์จะช่วยแนะนำและบอกต่อกันอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมซึ่งนับเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการอย่างมหาศาล . . ดังนั้นในยุคที่ 4 ผู้ประกอบการต้องทำสินค้าให้ดี และเปิดรับเสียงตอบรับทั้งด้านดีและด้านไม่ดีจากลูกค้า เพื่อดูแลลูกค้าให้ประทับใจที่สุด และเพื่อให้ลูกค้าช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับธุรกิจของท่าน . . Charles Darwin บิดาแห่งทฤษฎีของวิวัฒนาการ กล่าวว่า “ผู้อยู่รอดไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้เก่งที่สุด” ธุรกิจของท่านก็เหมือนกันต้องเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลง . . ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาที่สายจนเกินไปและไม่เหลือสิ่งใดให้เปลี่ยนแปลง . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.6 ต่อยอดจากการบรรยายของ คุณสโรจ เลาหศิริ Chief Marketing Officer แห่ง Rabbit’s Tale ดิจิทัลเอเจนซีที่น่าจับตาที่สุดแห่งยุค มาช่วยถอดรหัสแนวคิดการตลาดที่จะสร้างคุณค่าให้ธุรกิจของท่าน สามารถรับมือเข้ากับคลื่นของการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที #Speaker #DNAbySPU2 9 September 2017 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
1 Comment
#DNAjournal2 #EP5
. . Welcome to Virtual Reality World “ขอต้อนรับสู่โลกเสมือนจริง” . . หลายท่านคงเคยจินตนาการถึงการสวมบทบาทเป็นตัวละครเอกในเกมหรือภาพยนตร์ ที่ท่านได้รับภารกิจให้ออกเดินทางผจญภัยไปในดินแดนที่ท่านไม่รู้จัก เพื่อเอาชีวิตรอดจากศัตรูที่พร้อมจะจู่โจมท่านทุกทิศทาง ถ้าทำได้จริงๆ มันจะสนุกขนาดไหน ? . . ฟังดูอาจจะเหมือนเราเพ้อฝันและเป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่เปิดประตูสู่โลกที่เสมือนจริงได้เกิดขึ้นแล้วนั่นคือ VR หรือ Virtual Reality เป็นเทคโนโลยีในการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ที่ทำให้ผู้ใช้เกิดการ “รับรู้” และ “รู้สึก” เหมือนจริงมากที่สุด . . ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของระบบ VR จะพบว่าจุดกระเพื่อมแรกสุดเกิดขึ้นในปี 1965 นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน lvan Sutherland ประดิษฐ์จอภาพสวมศีรษะ 3 มิติ รุ่นแรกเพื่อฝึกยุทธวิธีทางการทหาร ต่อมาในปี 1982 มีการสร้างหนังที่พูดถึง VR ครั้งแรกคือเรื่อง “Tron” และในปี 1999 ทั่วโลกได้รู้จักระบบ VR อีกครั้งจากภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ซึ่งเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณให้นักพัฒนาทั่วโลก หันมาสนใจกับเครื่องมือแห่งอนาคตชิ้นนี้ . . แต่เครื่องมือชิ้นนี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกของจินตนาการที่เกี่ยวกับโลกอนาคตอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกความเป็นจริง VR ก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน . . Palmer Luckey เด็กหนุ่มในแคลิฟอร์เนียที่เรียนหนังสือเองที่บ้าน แต่มีความหลงใหลในระบบ VR ไม่แพ้ใครได้สร้างแว่นต้นแบบที่เขาดัดแปลงขึ้นในโรงรถของพ่อแม่ ในปี 2012 เขาได้นำแว่นรุ่นที่หก ที่มีชื่อว่า "Rift" หรือแพที่จะเชื่อมระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนไว้ด้วยกัน เข้าไปลงทะเบียนในระบบของ Kickstarter แพลตฟอร์มระดมทุนชื่อดัง . . บังเอิญใน Kickstarter มีสมาชิกคนหนึ่งคือ John Carmack เขาคือผู้ก่อตั้งค่ายเกม id Software และเป็นมันสมองคนสำคัญผู้สร้างเกมตระกูล FPS ให้โลกรู้จักมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Doom, Quake ซึ่งแว่น VR เป็นเรื่องหนึ่งที่ Carmack สนใจเป็นทุนเดิม จึงได้ตัดสินใจทำงานร่วมกัน ภายใต้ชื่อ Oculus VR Inc และในปี 2014 Facebook ได้ตัดสินใจซื้อกิจการ Oculus ในมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลล่าร์ . . ถ้า VR ถูกพัฒนาอย่างถูกจุดและต่อเนื่องอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับอุตสาหกรรมความบันเทิงทั้งหมดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม วิทยาการที่ล้ำสมัยอย่างระบบ VR จะสามารถนำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างไร ? . . หลักสูตร #DNAbySPU2 ได้รับเกียรติจาก คุณจิรยศ เทพพิพิธ Founder and CEO at Infofed.com ผู้ผลิตคอนเทนท์ Infographic Motiongraphic และ Graphic Recording เพื่อการศึกษา ผู้ปลุกกระแสให้ Infographic กลับมาอีกครั้ง กับผลงาน Infographic รายการคืนความสุขของท่านนายกฯ มาแบ่งปันการประยุกต์ใช้ VR ผสมผสานเข้ากับเนื้อหาทางธุรกิจ . . เทคโนโลยี VR จะทำให้ท่านท่องไปในโลกจินตนาการอย่างเต็มตัว ผ่านมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง (First Person) เพื่อสร้างโลก “เสมือนจริง”ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสความสนุกและประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเล่นเกมและการชมภาพยนตร์ . . เนื้อหาที่จะนำมาใช้งานกับเทคโนโลยีชิ้นนี้กว้างขวางมาก ไม่จำกัดว่าจะต้องใช้ในอุตสาหกรรมที่สร้างความบันเทิงเท่านั้น เช่น เนื้อหาของการศึกษา ที่ใช้เทคโนโลยี Immersive VR Education ช่วยจำลองสถานที่และสภาพแวดล้อมที่เข้าถึงไม่ได้เพื่อประกอบการเรียนรู้และการบรรยายบทเรียน เช่น การอธิบายภูมิศาสตร์ของประเทศไทยในครั้งอดีต หรือบรรยากาศของโลกดึกดำบรรพ์ในสมัยไดโนเสาร์ . . ปฏิวัติวงการศิลปะและการท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวมองผ่านแว่นตา VR เพื่อรับภาพประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เช่น ที่พระราชวังทองคำของจักรพรรดิเนโรในอิตาลี เมื่อนักท่องเที่ยวมองผ่านแว่น VR ในจุดที่กำหนดไว้จะเห็นสภาพพระราชวังในศตวรรษที่ 1 ซึ่งนอกจากจะดูตื่นเต้นแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจและซึมซับสุนทรียะของโบราณสถานได้ง่ายขึ้น . . สำหรับเนื้อหาด้านการแพทย์ เทคโนโลยีนี้จะช่วยรักษาโรคโฟเบียหรือหวาดกลัวสิ่งต่างๆ ได้ เช่น หากหวาดกลัวการพูดในที่สาธารณะ แพทย์สามารถรักษาผู้ป่วยโดยให้ผู้ป่วยฝึกพูดในที่สาธารณะในโลกเสมือนจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและลดอาการตื่นเต้น . . ทางด้านเนื้อหาทางธุรกิจ เทคโนโลยี VR สามารถสร้างสถานการณ์เสมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น เช่น การเปิดตัวสินค้า Galaxy Note 7 ในงาน Samsung Galaxy Unpacked 2016 ที่ให้ผู้ชมสามารถสัมผัสบรรยากาศการเปิดตัวสินค้าผ่าน VR หรือ การนำเทคโนโลยีจำลองโลกเสมือนจริงมาใช้เปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ Noble Around Sukhumvit 33 ที่นอกจากจะช่วยให้ผู้ซื้อมีโอกาสได้สัมผัสห้องตัวอย่างหรือโครงการบ้าน ในมิติที่มากกว่าแค่ข้อมูลจากโบรชัวร์หรือโมเดลจำลอง . . หากมองย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นพัฒนารูปแบบการสื่อสารขึ้นมาอย่างเป็นลำดับ ตามลักษณะการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปและเทคโนโลยีใหม่ๆ ตั้งแต่ภาพเขียนบนกำแพงถ้ำในยุคหินจนมาถึงยุคปัจจุบันที่เขียนข้อความบนกำแพงของ Facebook . . ดังนั้นท่านจะหยุดพัฒนาวิธีเล่าเนื้อหาของธุรกิจได้อย่างไร ? . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.5 ต่อยอดจากการบรรยายของ คุณจิรยศ เทพพิพิธ Founder and CEO at Infofed.com ผู้ผลิตคอนเทนท์ Infographic Motiongraphic และ Graphic Recording เพื่อการศึกษา ผู้ปลุกกระแสให้ Infographic กลับมาอีกครั้ง กับผลงาน infographic รายการคืนความสุข ของท่านนายกฯ มาแบ่งปันการประยุกต์ใช้ VR ผสมผสานเข้ากับเนื้อหาทางธุรกิจ #Speaker #DNAbySPU2 8 September 2017 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal2 #EP4
. . The science of scent “ถอดรหัส ...วิทยาศาสตร์แห่งกลิ่น” . . ได้ดูรายการนั้นไหม ? ลองจับสิ่งนี้ดูสิ ? ลองฟังเพลงนี้ดูหรือยัง ? . . หลายครั้งที่เรามักเติมคำกริยาว่า “ดู” เข้าไปเวลาพูดถึงการใช้สัมผัสต่าง ๆ นั่นสะท้อนให้เห็นว่า เราให้คุณค่าของ “การมอง” มากกว่าประสาทสัมผัสประเภทอื่น . . ในบรรดาประสาทสัมผัสของมนุษย์ซึ่ง ประกอบไปด้วยสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส การดมกลิ่นหรือ “นาสิกสัมผัส” นั้นดูเหมือนจะมีความสำคัญน้อยกว่าผัสสะอื่นๆ จึงมักถูกมองข้ามไปอย่างน่าน้อยใจ . . ซึ่งการถูกมองข้าม ก็ส่งผลให้มีการวิจัยและการพัฒนาที่ล่าช้า จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆท่านมีมุมมองต่อ นาสิกสัมผัส ว่าเปรียบเสมือน “เครื่องมือสำหรับสร้างความรื่นรมย์” เท่านั้น เช่น การใส่น้ำหอม เพื่อเพิ่มเสน่ห์และความดึงดูดต่อเพศตรงข้าม . . แต่จากงานวิจัยที่ออกโดยนักวิทยาศาสตร์ ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่าง “กลิ่นกับอารมณ์” เพราะกระแสประสาทของกลิ่นจากจมูกสามารถถ่ายทอดไปที่สมองได้โดยตรง ในส่วนของสมอง “ระบบลิมบิก” (Limbic system) ที่มีหน้าที่เก็บความทรงจำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว . . ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่า กลิ่นมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อวิถีชีวิตอย่างมหาศาล และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถนำศาสตร์ของกลิ่นมาประยุกต์ใช้กับสิ่งอื่นๆได้อีกมากมาย คำถามคือท่านจะนำศาสตร์นี้ไปใช้ได้อย่างไร ? . . หลักสูตร #DNAbySPU2 ได้รับเกียรติจาก คุณชลิดา คุณาลัย ผู้เจนจัดในสุนทรียะแห่งกลิ่น ที่มาจุดประกายความคิดว่ากลิ่นนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง และทำไมกลิ่นถึงมีส่วนสำคัญในธุรกิจไม่แพ้การโฆษณา . . “กลิ่นช่วยสร้างยอดขาย” คือการใช้ศาสตร์ของกลิ่นนำมาประยุกต์เข้ากับเครื่องมือทางการตลาดที่จะส่งมอบคุณค่าที่สร้างมูลค่าให้กับลูกค้า เช่น ฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังที่ศึกษาและพบว่า “กลิ่นคืออีกหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญเมื่อลูกค้าเลือกซื้อรถใหม่” จึงได้ขยายห้องทดสอบกลิ่นประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ที่นานจิง ประเทศจีน เพื่อสร้างกลิ่นที่คงสภาพในทุกสภาวะการใช้งาน เหมือนกับตอนออกรถใหม่จากศูนย์บริการ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ การใช้กลิ่นเพื่อสร้างบรรยากาศของความผ่อนคลายในร้านค้าปลีก ในแนวคิดของ aromatherapy หรือ “สุคนธบำบัด” . . “กลิ่นช่วยส่งเสริมการเรียนรู้” จากรายงานของมหาวิทยาลัยเยล นักจิตวิทยาชื่อ แกรี สจ๊วต ได้ทดลองถามปัญหาที่เกินความรู้ความสามารถของนักศึกษามหาวิทยาลัย เช่น การถอดสมการชุดตัวเลขที่ซับซ้อนในเวลาจำกัด กับนักศึกษาจำนวน 48 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม . . ในกลุ่มแรกก่อนถูกตั้งคำถามให้ดมกลิ่นหอมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น กลิ่นของดอกไม้ที่ผสมกับกลิ่นของผลแอปเปิ้ล ในขณะอีกกลุ่มไม่ให้ดมอะไรเลย ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกจะมีการหายใจสบายๆช้าๆ กล้ามเนื้อมีการผ่อนคลาย ความดันเลือดไม่สูง ความเขินอาย และความตึงเครียดมีน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด . . “กลิ่นช่วยกระตุ้นความทรงจำ” เรื่องที่เกิดมานานแล้วลืมไปนั้น อาจทำให้หวนระลึกได้อีกด้วย “กลิ่น” นักจิตวิทยา ทริก เอ็งเกน พบว่า คนทั่วไปจำกลิ่นได้ถูกต้อง 65% แม้เวลาจะล่วงมาถึง 1 ปี ในทางตรงข้าม การหวนรำลึกถึงภาพที่เห็นจะลดลงไปราว 50% เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 4 เดือน สาเหตุเพราะ “กลิ่น”จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ ด้วยลักษณะเป็น “ภาพที่สมบูรณ์ของผัสสะทั้ง 5” นอกจากนั้นยังสามารถกระตุ้นอารมณ์ที่รู้สึกในครั้งนั้นได้ด้วย . . ท่านสามารถกลั่นกรองศาสตร์ของ “กลิ่น” และนำไปประยุกต์เพื่อสร้างการเชื่อมต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเข้ากับธุรกิจของท่าน เพื่อเติมเต็มสัมผัสทั้ง 5 เพราะ ทฤษฎีสัมผัสทั้ง 5 เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์มากใน “การออกแบบบริการ” (Service design) . . สิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าท่านพยายามศึกษา ค้นคว้าและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งท่านอาจจะได้รู้สึกถึง “กลิ่นแห่งความสำเร็จ” ก็เป็นได้ . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.4 ต่อยอดจากการบรรยายของ คุณชลิดา คุณาลัย ผู้เจนจัดในสุนทรียะแห่งกลิ่น ที่มาจุดประกายความคิดว่ากลิ่นนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง และทำไมกลิ่นถึงมีส่วนสำคัญในธุรกิจไม่แพ้การโฆษณา #Speaker #DNAbySPU2 7 October 2017 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal2 #EP3.. A river changes course “เมื่อแม่น้ำเปลี่ยนทิศ... ธุรกิจต้องเปลี่ยนทาง”10/9/2017 #DNAjournal2 #EP3
. . A river changes course “เมื่อแม่น้ำเปลี่ยนทิศ... ธุรกิจต้องเปลี่ยนทาง” . . หนึ่งในทฤษฎีเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้แก่ “กฎของมัวร์” (Moore's law) ซึ่งถูกตั้งตามชื่อของอดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล กอร์ดอน มัวร์ (Gordon E. Moore) ระบุไว้ว่าปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวประมาณทุก ๆ สองปี ซึ่งหมายความว่า “ในทุก 2 ปี คอมพิวเตอร์จะฉลาดขึ้นอีก 1 เท่าตัว” . . กฎดังกล่าวทำให้ในพื้นที่ต่างๆ มากมายทั่วโลก เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เทคโนโลยีเกิดใหม่ ” (Emerging Trends) ซึ่งคือกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพที่มากขึ้น แต่ใช้ทรัพยากรให้น้อยลง ตัวอย่างเช่นกรณี เติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นรากฐานสำคัญในการเร่งสปีดของการเติบโต . . ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหตุการณ์และหลักฐานต่างๆ ได้พิสูจน์และเปิดเผยให้ท่านเห็นแล้วว่า ทุกธุรกิจทั่วโลกในแต่ละภาคส่วนได้รับผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนาจากสิ่งที่เรียกว่า “เทคโนโลยี” ทำให้เทคโนโลยีเปรียบเสมือน “ผู้ร้าย” ที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่อยากทำความรู้จัก . . สื่อต่างๆได้ทำให้หลายๆท่านรับรู้แล้วว่าเทคโนโลยีได้ฆ่าธุรกิจไปจำนวนมาก แต่ท่านอาจจะไม่ค่อยตระหนักว่าเทคโนโลยีก็สร้างชีวิตแก่ธุรกิจมากมายเช่นกัน . . ดังนั้นท่านจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะใช้เทคโนโลยีมาสร้างชีวิตได้อย่างไร ? . . หลักสูตร #DNAbySPU2 ได้รับเกียรติจากคุณธนา เธียรอัจฉริยะ CMO ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ผู้อำนวยการหลักสูตร ABC สถาบันพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุมที่มาแบ่งปันวิธีเผชิญหน้าและรับมือ “แม่น้ำเปลี่ยนทิศ” ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ . . ในอนาคตอันใกล้นี้ “ความเข้าใจ” (Empathy) จะเป็นกลยุทธ์เดียวที่จะทำให้ท่านรับมือกับแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศได้ ซึ่งความเข้าใจสามารถแยกย่อยได้เป็นสองแง่มุมคือ ท่านจะต้องมีความ “เข้าใจในโลกใบนี้” และเหนือสิ่งอื่นใดท่านต้อง “เข้าใจในอารมณ์มนุษย์” . . “การเข้าใจในโลกใบนี้” คือ การรับรู้และเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนฐานรากของการทำธุรกิจ เพราะปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกธุรกิจต้องพึ่งพาเทคโนโลยี . . สมาร์ทโฟนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล แต่ประเด็นใหญ่ที่สำคัญคือ “สมาร์ทโฟนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน” เช่นในสมัยก่อนผู้คนมีความคาดหวังที่เล็กน้อย และความอดทนที่สูงพอ ที่จะรอบริการจากช่างซ่อมประปาที่จะในวันถัดไปได้ แต่ในช่วงเวลานี้ลูกค้ามีความคาดหวังที่สูงขึ้นซึ่งสวนทางกับความอดทนที่ต่ำลง เช่นถ้าท่อน้ำมีปัญหาตอนนี้จะยอมจ่ายเงินให้กับช่างที่มาบริการเดี๋ยวนี้ . . “การเข้าใจในอารมณ์มนุษย์” คือการเอาใจของเราออกไปแล้วใส่ใจของเขาเข้ามา เป็นการจำลองโลกใบเล็กๆหลายใบ เพื่อไปใช้ชีวิตของคนอีกคน ในอีกมุมมอง ฟังเรื่องราวของคนอื่น ทำซ้ำไปมาแล้วโลกใบเล็กหลายๆใบจะกลายเป็นโลกใบใหม่เพื่อสะสมองค์ความรู้ใหม่ๆ . . เช่นกรณีของ Start up ชื่อ Refinn ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้านแบบไม่มีค่าใช้จ่าย หลังจากเปิดตัวไม่นานและไม่มีโฆษณาใดๆ "Refinn" กลายเป็นหนึ่งในคำ Search ที่คนไทยหามากที่สุด เพราะคำว่า Refinn พ้องกับคำว่ารีไฟแนนซ์ที่คนไทยตามหามาตลอด . . ดังนั้นท่ามกลางแม่น้ำที่จะเปลี่ยนทิศ สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจของท่านสามารถยืนหยัดได้คือการสอดประสานกันของความเข้าใจในโลกใบนี้และความเข้าใจของอารมณ์มนุษย์ที่เปรียบเสมือนการทำงานของไม้กระดกที่ต้องการน้ำหนักที่เท่ากันของสองด้านเพื่อสร้างสมดุล . . และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วท่านจะเข้าใจเช่นกัน . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.2 ต่อยอดจากการบรรยายของ คุณธนา เธียรอัจฉริยะ CMO ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ผู้อำนวยการหลักสูตร ABC สถาบันพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุมที่มาแบ่งปันวิธีเผชิญหน้าและรับมือ “แม่น้ำเปลี่ยนทิศ” ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ #Speaker #DNAbySPU2 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal2 #EP2
Think outside the box “คิดนอกกรอบ เพื่อเห็นโลกใหม่” . . "ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน" อาจารย์แพทย์ นักจิตวิทยา และนักเขียน ผู้ริเริ่มแนวความคิดเรื่อง Lateral Thinking (การคิดนอกกรอบ) และได้พัฒนาต่อเนื่องเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "Six Thinking Hats (กระบวนการคิดแบบหมวกหกใบ) ได้กล่าวถึงความคิดสร้างสรรค์ว่า . . “ความคิดสร้างสรรค์เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของการคิดที่มีอยู่ในศาสตร์ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การเงิน การตลาด แรงงานสัมพันธ์ การวิจัยและการแก้ปัญหา การวางแผน ฯลฯ ดังนั้นความเชื่อที่ว่า การคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องของศิลปะ เท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมาก” . . ความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบจะนำไปสู่นวัตกรรมและการค้นพบวิถีทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ถ้าหากไม่เกิดความคิดนอกกรอบก็ย่อมจะไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์ และ เทคโนโลยีต่าง ๆ ในโลกก็คงจะไม่ก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ . . หลายองค์กรทราบดีว่า ในยุคสมัยนี้องค์กรไม่สามารถที่จะหยุดเรียนรู้ หรือต้านทานกระแสน้ำของความเปลี่ยนแปลงได้เลย และความคิดสร้างสรรค์เปรียบเสมือนกุญแจที่จะนำไปสู่นวัตกรรมและการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ จึงได้มีนโยบายสนับสนุน การ ยกระดับความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนและองค์กรเพื่อสร้างสรรค์งานให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อที่จะก้าวไปสู่คำว่า “องค์กรแห่งนวัตกรรม” . . . หลักสูตร #DNAbySPU2 ได้รับเกียรติจาก คุณสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนเจ้าของนามปากกา “นิ้วกลม” ที่มาเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ที่จับต้องไม่ได้และเป็นสิ่งที่ไกลตัวสำหรับคนที่ไม่คุ้ยเคยให้มาเป็น “ความรู้สึก” ที่ทุกคนสามารถเชื่อมโยงและสัมผัสได้ . . เพราะทุกคนล้วนติดอยู่ใน “กรอบความคิด” โดยที่ไม่รู้ตัว และกรอบความคิดจะปิดตาท่านไว้ ไม่ให้มองเห็นความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือต้องเรียนรู้เสียก่อน ว่ากรอบประกอบไปด้วยด้านไหนบ้าง ? . . เมื่อท่านรู้ถึงด้านต่างๆ ของกรอบความคิดแล้ว ท่านจะสามารถทลายกรอบความคิด ได้ด้วยคำพูดเพียงแค่คำเดียว เป็นคำพูดที่แสนเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว . . ด้านที่ 1 คือ “ความพึงพอใจ” เมื่อเราสิ้นสุดความคิดที่คำว่าดีแล้ว โดยธรรมขาติสมองของเราจะหยุดการทำงานทันที ดังนั้นเราจึงควรขยายระยะเวลาการใช้ความคิดออกไปอีกหน่อย ด้วยการตั้งคำถามต่อเนื่องว่า ดีแล้ว...หรือยัง ? เพื่อบังคับให้ทิศทางของความคิดพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ . . ด้านที่ 2 คือ “มุมมอง” เมื่อเรามีมุมมองแค่ด้านเดียว เราจะเห็นโลกในแง่มุมที่จำกัด แต่ถ้าเราขยับตัวและยืนมองสิ่งๆนั้นในองศาที่ต่างไป เราจะมีมุมมองอีกด้าน เช่นไฟแช็คถ้าในสายตาของคนที่อยู่ในเมือง อาจจะเหมือนไร้ค่า แต่ถ้าไปอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ไฟแช็คอันเดียวกันนั้นจะเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ . . ด้านที่ 3 คือ “ชื่อ” เพราะเมื่อเราได้ยินชื่อ สมองของท่านจะดึงภาพของชื่อนั้นออกมาโดยอัตโนมัติ เช่น “เก้าอี้” ภาพจำคือวัตถุสำหรับรองนั่งที่ต้องมีสี่ขา แต่ถ้าเป็นวัตถุรองนั่งที่มีห้าขาเพื่อรองรับน้ำหนักได้มากขึ้นและเสริมความมั่นคง ท่านจะเรียกว่าสิ่งนั้นว่าเก้าอี้หรือไม่ ? . . ด้านที่ 4 คือ “ความรู้” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวว่า “ท่านไม่มีทางแก้ปัญหาได้ ถ้าท่านใช้ระบบความคิดเดียวกับที่สร้างปัญหานั้นขึ้นมา” ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาขึ้น ท่านลองไปดูงานของอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดูซิ ท่านอาจจะเจอวิธีการที่คาดไม่ถึงก็ได้ เช่นถ้าท่านมีปัญหาเรื่องสต้อกสินค้าคงค้าง ลองไปดูวิธีบริหารสต้อกของร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ . . ด้านที่ 5 คือ “ความเชื่อมโยง” บางสิ่งทีต่างกันเมื่อท่านมองหาความเหมือนของสิ่งที่ต่างกัน แล้วนำมาเชื่อมโยงกัน จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ เช่น Post it คือการเชื่อมโยงกันระหว่างการและกระดาษจดขิ้นเล็กๆ . . ด้านที่ 6 คือ “ประสบการณ์” เพราะประสบการณ์คือบ่อเกิดของความคิด ถ้าท่านอยากจะมีความคิดที่หลากหลาย ท่านควรทำสิ่งที่ท้าทายโดยการเดินออกไปนอกความสนใจของตนเอง เพื่อหาเลนส์สายตาใหม่ๆ เช่นทำกิจกรรมแปลกๆ อ่านหนังสือผู้หญิงทั้งๆที่ตัวท่านเองเป็นผู้ชาย ดูหนังหรืออ่านหนังสือแนวที่ไม่คาดคิดมาก่อน . . เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่สรรหาคนเก่ง ๆ มาอยู่ในองค์กรแล้วไม่ได้ส่งเสริมให้คนในองค์กรได้เกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อมาใช้ในการพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรม . . ดังนั้นท่านที่เป็นผู้นำขององค์กรควรตั้งคำถามกับกรอบข้างต้นเพื่อท้าทายและเพิ่มศักยภาพให้คนในองค์กรของท่าน มีสภาวะของความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal2 จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU2 2. ข้อมูล EP.2 ต่อยอดจากการบรรยายของ จาก คุณสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนเจ้าของนามปากกา “นิ้วกลม” ที่มาเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ที่จับต้องไม่ได้และเป็นสิ่งที่ไกลตัวสำหรับคนที่ไม่คุ้ยเคยให้มาเป็น “ความรู้สึก” ที่ทุกคนสามารถเชื่อมโยงและสัมผัสได้ #Speaker #DNAbySPU2 31 September 2017 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง |
DNAbySPUหลักสูตรพัฒนาพันธุกรรม Archives
June 2019
Categories |