#DNAjournal4 #EP10
Shadow Profile เมื่อระบบของ Facebook เข้าใจเรา มากกว่าเราเข้าใจตนเอง . . มีคำกล่าวจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า “ถ้าอยากรู้ประวัติของตนเอง จงลงเล่นการเมือง เพราะขั้วตรงข้ามจะหามาแม้แต่สิ่งที่เราลืมไปแล้วก็ตาม” แต่ในตอนนี้ทุกคนสามารถถูกขุดคุ้ยข้อมูลต่างทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงานและเรื่องที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ (เช่น เบอร์บัญชี จำนวนเงินฝาก) . . เชื่อแน่ว่าคนไทยเกือบทุกคนเป็นเจ้าของบัญชี Facebook ซึ่งเป็นหนึ่งในโซเชียลมีเดียที่มีสมาชิกอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากท่านจะตื่นตาตื่นใจกับ Content มหาศาลที่เพื่อนๆ ของท่านผลิตออกมา ไม่ว่าจะเป็น รูปถ่าย วิดีโอ คำพูดคมๆ จนถีงการบ่นด่าเรื่องต่างๆ อีกหนึ่งสิ่งที่จะสร้างความประหลาดใจคือ “ Facebook รู้เรื่องส่วนตัวเราได้อย่างไร ?” . . “ช่วยเราให้คะแนนสถานที่แห่งนี้” “คนที่คุณอาจรู้จัก” ข้อความเหล่านี้เคยผ่านตาพวกเรา และสร้างความฉงนสงสัยไม่น้อย ว่าปัญญาประดิษฐ์บังเอิญล่วงรู้กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตเราได้อย่างไร ? ทั้งๆ ที่เราไม่ได้บอกผ่านทางการอัพรูปหรือเช็คอินเลย หรือว่าจริงๆ เป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่จะให้มีระบบการติดตามข้อมูลของผู้ใช้ . . ประเด็นดังกล่าวถูกจุดมาจากบทความของ Kashmir Hill คอลัมนิสต์ของ Gizmodo ที่ใช้คำเพื่อบรรยายในสิ่งที่ Facebook ทำว่าคือ “Shadow Profile” หรือ “โปรไฟล์เงา” ซึ่งทาง Facebook ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เพราะคำนี้เหมือน Facebook รวมหัวกันทำอะไรลับหลังสมาชิก . . เธออธิบายว่าโดยทั่วไปเรามักจะคิดว่าโซเชียลมีเดียหรือแอปต่างๆ จะเข้าถึงเฉพาะ “ข้อมูลที่เราบอก” ทั้งอย่างเต็มใจ เช่น อัพเดทสเตตัส เช็คอิน โพสต์รูป เช่น ฝังสคริปต์ในเพจที่เราเข้าไปอ่านเป็นประจำ ฝังพิกเซลเพื่อจดจำสินค้าที่เราดูแล้วใช้มาเป็นฐานข้อมูลเพื่อทำ Remarketing แต่ในความเป็นจริงแล้วโซเชียลมีเดียสามารถตั้งค่าให้ล่วงรู้ข้อมูลที่เราไม่ได้เป็นคนบอก แต่คนอื่นบอกอีกด้วย . . สมมุติท่านเช็คอินในสถานที่หนึ่ง ระบบจะทำการตรวจจับคนที่เช็คอินว่ามีใครที่เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของท่านบ้าง ที่เช็คอินสถานที่เดียวกับท่าน รวมถึงระยะเวลาและการเคลื่อนไหว (เพราะท่านอนุญาตให้ระบบสามารถตรวจจับได้ในกรณีที่ใช้งาน GPS) ระบบจะนำข้อมูลทั้งหมด เพื่อประเมินความเป็นไปได้และเดาสุ่มว่า ท่านมีความเกี่ยวข้องกับคนนี้หรือไม่ และประมวลออกมาเป็น “คนที่ท่านอาจรู้จัก” . . พูดง่ายๆ Shadow Profile ก็คือ นักสืบที่ทำงานอย่างหนักเพื่อสืบค้นข้อมูล และนำสิ่งที่ได้ทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน และคาดเดาความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต . . เราคงเคยเห็นโฆษณารณรงค์ไม่ให้แสดงข้อมูลส่วนตัวลงในโซเชียล เพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ถ้าข้อมูลส่วนตัวของเราถูกเปิดเผย โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้เปิดเผยเอง แต่คนอื่นเปิดเผย เราจะป้องกันตัวอย่างไร ? . . มาตรการป้องกันปัญหานี้ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่ในช่วงที่ Mark Zuckerberg ให้การกับวุฒิสมาชิกสหรัฐเกี่ยวกับการใช้ข้อมูล เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งที่ Donald Trump เป็นผู้ชนะ ในประเด็น Shadow Profile Mark ตอบว่า “ผมไม่คุ้นเคยกับ Shadow Profile มาก่อนเลย” แต่ในภาพถ่ายโต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์ของเขา มีคนสังเกตว่าเขาเอาเทปใสปิดช่องไมค์โครโฟนและกล้องไว้ ซึ่งบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าเขารู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า Shadow Coding ในโลกนี้ แต่เขาได้นำมาใช้กับ Facebook ที่เขาสร้างขึ้นหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป . . โดยสรุปคือเราแทบจะไม่สามารถป้องกัน Shadow Profile ได้เลย เพราะ Facebook บอกว่าเมื่อสมาชิกกดยืนยันลบบัญชีแล้ว ระบบจะทำการลบข้อมูลทุกอย่างภายใน 90 วัน (แต่ไม่รู้ว่าสำรองข้อมูลไว้หรือเปล่า) แต่เราสามารถจำกัดความเสียหายได้ วิธีง่ายๆ คือเลิกเล่นเกมที่อยู่ใน Facebook เลือกคนที่จะรับเป็นเพื่อน และบอกคนใกล้ตัวให้ตระหนักถึงประเด็นนี้ ก่อนที่จะให้ข้อมูลแก่ Facebook . . เพราะคงไม่มีใครอยากให้มีกล้องนั่งเล่นที่เชื่อมต่อกับระบบ Wifi ตั้งอยู่ในบ้าน ดังนั้นนี่อาจเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รอนักพัฒนาหรือสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ออกสินค้าหรือบริการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.10 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอาทิตย์ ธำรงธัญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็ตทรี จำกัด และพิธีกรรายการเกาเหลาไอที มาอธิบายถึงความอันตรายของการโดนจารกรรมข้อมูลและสิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งและไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้นๆ . . #Speaker #DNA4bySPU 16February 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง
0 Comments
#DNAjournal4 #EP9
Influencer คนตัวเล็ก เสียงดัง และต้องทำความเข้าใจ . . ยุคนี้เป็นหนึ่งในยุคสมัยที่นักการตลาดและนักบริหารจัดการแบรนด์ได้ยากที่สุด ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วถ้าจะสร้างแบรนด์ให้มีความเชื่อถือ สูตรสำเร็จที่มักทำกันคือผลิตหนังโฆษณาสักชิ้นให้ดูน่าเชื่อถือ แล้วไปซื้อมีเดียให้มากที่สุด ยาวที่สุด บ่อยที่สุด เพราะแบรนด์ใดอยู่บนสื่อที่มีราคาแพงมากเท่าไร ยิ่งกล้าใช้เงินเท่าไร แบรนด์ยิ่งมีความน่าเชื่อถือเท่านั้น . . แต่ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้ความลับไม่มีในโลก แบรนด์ใดทำการตลาดเก่งและสร้างชื่อเสียงได้ดี แต่ถ้าสินค้าไม่มีคุณภาพ ก็เตรียมโดนถอนรากถอนโคนจากชาวเน็ตที่รวมใจกันได้เลย และผู้บริโภคในยุคนี้เริ่มตั้งคำถามในความน่าเชื่อถือของแบรนด์ พวกเขาไม่เชื่อสื่อ ดารา หนังโฆษณา ที่เงินสามารถซื้อได้อีกต่อไป ทำให้แบรนด์ที่มีเงินถุงเงินถังสามารถสร้างได้แค่ขั้น Awareness แต่ไปไม่ถึงขั้น Brand Preference และ Engagement . . ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการรู้ข้อมูลของจริง ประสบการณ์จริง อะไรดีก็ชม อะไรไม่ดีก็แฉ นักการตลาดจึงหาวิธีการใหม่ในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ นั่นคือ แทนที่จะพูดผ่านปากของดารา นักแสดง แต่พูดผ่านปากของ “Influencer” . . แล้ว Influencer คือใคร ? ว่าง่ายๆ คือ “ผู้นำความคิด ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” อาจไม่โด่งดังไปทั่วประเทศจนได้ลงหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าเป็นคนในวงการต้องรู้จักคนนี้แน่นอน ซึ่งแตกออกไปได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่องเที่ยว หนัง เพลง เครื่องเสียง จักรยาน ร้านปิ้งย่าง จนกระทั่งพ่อบ้านใจไม่กล้า . . สาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความเชื่อใจใน Influencer มากกว่าสื่อโฆษณาก็คือ “ความเป็นกันเอง” เพราะ Influencer ก็พูดจาเหมือนผู้บริโภคส่วนใหญ่ เดินดินกินข้าวแกงเหมือนคนทั่วไป เป็นเหมือนเพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าคนที่อยู่ไกลตัว ไม่เหมือนเซเลบริตี้หลายคนที่สุภาพจนน่ากลัว พูดจาฉลาดเกินมนุษย์ . . ในประเทศไทยก็มีการใช้ Influencer มาสักพักแล้ว แต่ไม่ได้ใช้แบบที่ยืนยิ้มถ่ายรูปสินค้าเพื่อเอารูปไปประกอบการโฆษณาเฉยๆ แต่ให้เขา “สร้างเนื้อหา” (Create Content) เพื่อนำไปประกอบเป็นส่วนหนึ่งของ Content Marketing เพื่อผูกเรื่องราวให้มีความน่าเชื่อถือ โดยที่ผู้บริโภคไม่รู้สึกโดนคุกคามมากนัก . . แต่นักการตลาดและนักบริหารแบรนด์ยังรู้สึกว่า Influencer ก็คือ Media ชนิดหนึ่ง เป็นกล่องเปล่ากล่องหนึ่งที่จะใส่อะไรไปก็ได้หลังจากที่จ่ายเงินแล้ว และคาดว่าจะได้ผลลัพธ์กลับมาในรูปของ Awareness และ Engagement คือต้องได้ยอดไลค์และยอดแชร์เท่านั้น มีคนพูดถึงในโซเชียลเท่านี้ . . วิธีการตกลงกับ Influencer เพื่อสร้างเนื้อหาของแบรนด์ที่ถูกต้องนั้น จะต้องไม่เป็นในรูปแบบของการรับคำสั่ง แต่จะต้องทำงานร่วมกัน เพราะ Influencer ก็ได้รับความนิยมเพราะเนื้อหาที่เขาผลิตออกมา ดังนั้นเขารู้ดีที่สุดว่าเขาควรจะออกแบบเนื้อหาอย่างไร ขึ้นต้นยังไง เอาสินค้าลงช่วงไหน ควรจะปิดการขายอย่างไร ? . . Influencer แต่ละคนคงมีจินตภาพในหัวแล้วว่าต้องลงสินค้าเมื่อไหร่ เพราะถ้าเขาทำเนื้อหาออกมาไม่ดี ขายของมากเกินไปจนน่าเกลียดและมีผู้ติดตามก็ลดน้อยลง และเมื่อผู้ติดตามน้อยลงแบรนด์ก็จะถอนโฆษณา ดังนั้นนักการตลาดจึงควรให้โจทย์กว้างๆ และให้ Influencer ตีความและถ่ายทอดออกมาเอง . . ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้งสายการบิน Virgin Airline และธุรกิจมากมายภายใต้ Virgin Group กล่าวไว้ว่า “ลูกค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้สำคัญเกินกว่าพนักงานบริการ เพราะเมื่อบริษัทดูแลให้พนักงานมีความสุข เขาจะดูแลให้ลูกค้ามีความสุขเอง” เช่นเดียวกันกับการใช้งาน Influencer เมื่อเขาต้องทำงานอย่างอึดอัดและไร้ความสุข เขาจะสร้างผลงานที่สร้างความสุขให้ท่านได้อย่างไร ? . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.9 ต่อยอดจากการบรรยายของ คุณชนัญญา เตชจักรเสมา Point of View: Youtuber นักเล่าเรื่อง ผู้ทลายกำแพงวรรณคดีไทย ที่ให้เกียรติมาแชร์ประสบการณ์และเล่าแนวคิด วิธีการสร้าง Content อย่างไรให้น่าสนใจในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลเปลี่ยนไปอย่างรวดเเร็ว . . #Speaker #DNA4bySPU 9 February 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP8
“MarTech” เทคโนโลยีการตลาด ใช้ให้เป็น เห็นกำไร . . ทุกวันนี้ไม่ว่าคนในวงการไหนๆ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วและฉับพลัน ไม่ว่าจะเป็นคนในสาย Hardware ที่อุปกรณ์จะมีราคาถูกลงเรื่อยๆ แบบทบต้นทบดอกตามกฏของ Moore’s law นายใหญ่แห่ง Intel ที่ทำนายว่าชิพหรือสมองกลในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือจะมีความรวดเร็วขึ้น 1 เท่าตัวในทุก 2 ปี ทำให้ท่านเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในราคาที่แสนแพงตอนต้นปี พอผ่านไป 2 ปีมีราคาแค่ครึ่งเดียว . . ด้วยอานิสงส์ของการที่สมองกลมีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น คนทั่วโลกพยายามอย่างสุดความสามารถในการพัฒนา Software และ Application ด้านการบริหารจัดการธุรกิจอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ท่านสามารถ สร้าง จัดการ วิเคราะห์ และบริหารธุรกิจที่ท่านมีได้ดียิ่งขึ้นในราคาที่ถูกลง . . มีสถิติบันทึกไว้ว่าก่อนปี 2014 โลกใบนี้มีจำนวน Marketing Technology 1,900 โซลูชั่นส์ แต่ถึงทุกวันนี้ (ปี 2019) โลกมีถึง 3,800 โซลูชั่นส์ให้ผู้บริหารและนักการตลาดทั่วโลกได้เลือกใช้ตามความต้องการทั้งในรูปแบบฟรีและเสียเงิน . . การที่มี Business Solution ให้เลือกเยอะคือสิ่งดี เพราะสะท้อนว่าตอนนี้ผู้กำหนดกลไกราคาไม่ใช่นักพัฒนา แต่ได้ย้ายฝั่งมาที่ผู้บริโภค ทำให้นิยามได้ว่ากลายเป็นตลาดของผู้บริโภคอย่างแท้จริง แต่การมีเยอะเกินไปก็มีข้อเสีย คือ เราไม่รู้จะเลือกใช้แอพอะไรทุ่นแรง จึงเลือกใช้ตามที่คนอื่นเขาใช้กัน . . นักพัฒนาบางกลุ่มเข้าใจแนวโน้มนี้ จึงออกสินค้าและบริการที่ดีและฟรีให้ผู้บริโภคใช้งาน โดยมีจุดประสงค์ในการกระตุ้นจำนวนผู้ใช้ให้เป็นหนึ่งในแอพติดเครื่อง และไปขอเงินเพิ่มจากนักลงทุน โดยอ้างว่าเมื่อมีคนจำนวนมากมาที่เรา แล้วค่อยหา Business Model ใหม่ที่จะสร้างรายได้ภายหลัง แต่ในความเป็นจริงมีหลายโซลูชั่นส์ต้องปิดตัวไปเพราะไม่สามารถหารูปแบบที่เหมาะสมได้ เมื่อธุรกิจมีแต่รายจ่ายออกไป ไม่มีรายได้เข้ามา ก็ปิดตัวไปเสียดีกว่า . . หนึ่งในปัญหาคลาสสิคของนักการตลาด คือรู้ว่า MarTech นั้นดี แต่นึกไม่ออกว่าจะเอามาปรับใช้กับธุรกิจเราอย่างไร ? แน่นอนว่าหลักการเลือกใช้เครื่องมือแต่ละตัวนั้นไม่มีสูตรตายตัว แต่คงพอจะชี้ทางได้ในระดับหนึ่ง . . ประเภทของ MarTech แบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่ 1. Advertising & Promotion: เป็นเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการบริหารจัดการแผนการโฆษณาและวางแผนโปรโมท 2. Content & Experience: เทคโนโลยีที่ช่วยในการสร้างคอนเทนต์และมอบประสบการณ์ดิจิทัลโดยไม่ต้องจ่ายเงินราคาแพง 3. Social & Relationships: เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการสานสัมพันธ์กับบุคคล เช่น CRM 4. Commerce & Sales: เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Sales และ E-commerce 5. Data: เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้และการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Analytics ต่างๆ และ 6. Management: การบริหารจัดการทีม การบริหารจัดการ Workflow . . หลังจากศึกษาแต่ละประเภทดีแล้ว ลองปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ดู คือสำรวจดูว่ามีโซลูชั่นส์ไหนส่งเสริมกับ “พันธกิจ” ขององค์กรท่านบ้าง เพราะท่านไม่มีทางเลือกคู่ค้าได้เลย ถ้าท่านยังตอบไม่ได้ว่าองค์กรของท่านถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ? ถ้าท่านตั้งองค์กรมาเพื่อให้บริการส่งของได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำที่สุด เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลติดตามสินค้าก็เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าท่านเป็นองค์กรที่รับทำโฆษณาออนไลน์แต่อยากให้องค์กรมีความคล่องตัวสูง เทคโนโลยีการบริหารจัดการทีมก็เป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ . . การรู้พันธกิจขององค์กร จะช่วยให้การทดลองเทคโนโลยีง่ายขึ้น ผู้บริหารและนักการตลาดจะรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณว่าเครื่องมือใดสามารถเกื้อหนุนเป้าหมายนั้นได้มากกว่า ทำให้สามารถโฟกัสไปที่เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดได้ง่ายกว่าเดิม . . และถ้าท่านสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดกับพันธกิจของท่านแล้ว อย่าลืมลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วย เพราะเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่สามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ และคนอย่างเดียวก็ไปได้ไม่ไกลพอ ถ้าขาดเครื่องมืออันทรงพลัง . . เมื่อทั้งเทคโนโลยีและคนทำงานสอดประสานกัน ถึงจะสร้างผลงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพได้ ดังนั้นจงอย่าลืมเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้พัฒนาบุคลากรด้วย เพื่อลดค่าเสียโอกาสในการที่ซื้อของมาแล้วแต่คนในบ้านกลับใช้ไม่เป็น เหมือนลู่วิ่งรุ่นใหม่ที่ซื้อมาราคาแพง แต่พอผ่านไปก็มีหน้าที่แค่เอาไว้ตากผ้าและตั้งโชว์ . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.8 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณจอมทรัพย์ สิทธิพิทยา ผู้ก่อตั้งบริษัท EXZY Company Limited ที่มาแนะนำถึงเคล็ดไม่ลับในการเลือกหยิบจับโซลูชั่นต่างๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ โดยที่ต้นทุนไม่สูงมาก เพื่อก้าวให้ไกลกว่าที่คู่แข่งจะตามทัน . . #Speaker #DNA4bySPU 9 February 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP7 หวงคือไล่...ให้คือมี . . ในสมัยก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะสร้างความปั่นป่วนให้โลกใบนี้ มีคำกล่าวในแวดวงธุรกิจว่า “ใครก็ตามที่ควบคุมสื่อได้จะครองโลก” . . สื่อในสมัยนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดของคนมากมาย มากเสียจนกระทั่งชี้นำสังคมได้ว่าควรจะคิดอย่างไร ? ธุรกิจใดมีกระบอกเสียงที่ใหญ่กว่าคู่แข่งขันย่อมเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจเป็นธรรมดา ค่ายเพลงใดต้องการปั้นเพลงไหนให้ติดหูก็แค่จ่ายสื่อเยอะๆ ถ้าท่านใดอยากจะเป็น Celeb หรือคนดังก่อนเข้าวงการก็ต้องยอมจ่ายเงินเป็นค่าออกอากาศ . . เมื่อก่อนโลกใบนี้มีแค่ Paid Media (สื่อจ่ายเงิน) ซึ่งก็คือสื่อหลักที่เรารู้จักกัน เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ และนักสื่อสารทั้งหลายก็เป็น “ผู้เลือก” คือเลือกว่าจะสื่อสารประเด็นอะไร และเลือกว่าจะสื่อสารกับใคร เช่น ถ้าจะส่งข้อความไปยังคนทั่วประเทศก็ต้องออกสื่อช่องนี้เวลานี้ ถ้าจะสื่อสารไปยังคุณหญิงคุณนายที่มีกำลังซื้อก็ต้องลงโฆษณาในนิตยสารนี้ . . แต่หลังจาก ทิม เบอร์เนอร์ส- ลี ประดิษฐ์อินเตอร์เน็ตขึ้นมาในโลกนี้ จากเดิมที่สื่อคือ Paid Media เริ่มมีอาณาจักรใหม่เกิดขั้นมา นั่นคือ Own Media (สื่อที่ใครก็เป็นเจ้าของได้) ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของช่องได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงแค่เปิดบัญชี Facebook หรือ Youtube ท่านก็เป็นเจ้าของช่องได้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินมหาศาลและรอสัมปทานเหมือนเมื่อก่อน . . ซึ่งอาณาจักร Owned Media มาพร้อมกับดินแดน Earned Media (สื่อได้เปล่า)ซึ่งก็คือวิธีการที่จะทำให้สื่อที่ท่านมี ขยายเสียงออกไปได้ไกลกว่าเดิมด้วยการ กด Like Comment Share . . โลกธุรกิจเกิดการปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด ธุรกิจยักษ์ใหญ่ถ้าไม่เข้าใจการทำงานและการสอดประสานของ 3 ดินแดนนี้ ก็ต้องใช้จ่ายงบประมาณการสื่อสารมหาศาลแต่ก็ไม่ได้ผลตามที่คาด ในทางกลับกันธุรกิจขนาดเล็กที่เข้าใจและเข้าถึงทฤษฎีนี้ก็ใช้เวลาไม่นานเพื่อสร้างความร่ำรวยได้ไม่ยาก . . การสื่อสารข้อดีและคุณสมบัติของสินค้าออกไปให้คนภายนอกได้รับรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ควรจะสื่อสารอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาที่เราส่งไปไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้รับสาร . . ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าในโลกยุคใหม่ นักสื่อสารทั้งหลายไม่ได้เป็น “ผู้เลือก”อีกต่อไป แต่ถูกลดบทบาทลงให้กลายเป็น “ผู้ถูกเลือก” แทน เพราะประชาชนจะเลือกเองว่าจะเปิดฟังท่านเมื่อไหร่ และการจะได้มาซึ่ง Prime time นั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพงอีกแล้ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ ตอนนี้ก็จะมีแต่ Your time อยากเสพสื่อตอนไหน ก็แค่ป้อนคำสั่งและเรียกมันขึ้นมา ถ้ามีโฆษณาแทรกเนื้อหาที่เรากำลังเสพ สิ่งที่ต้องทำคือแค่ Block หรือ Skip ไม่ให้โฆษณามากวนใจ . . ดังนั้นคงไม่สมควรที่จะให้เขาเห็นในสิ่งที่ท่านมีหรือคุณสมบัติที่น่าภาคภูมิใจ แต่จะดีกว่าถ้าให้เขาเห็นในสิ่งที่อยากเห็น รู้ในสิ่งที่สงสัย และแก้ปมสงสัยให้เขาได้เพื่อแสดงถึงองค์ความรู้ที่สั่งสมมาและความเชี่ยวชาญที่ท่านมี . . ถ้าท่านเป็นคุณครูสอนชีวะ ก็อธิบายให้ผู้ฟังได้เห็นว่า ตับ ไต ไส้ พุง ทำงานกันอย่างไร ? ถ้าท่านขายถังดับเพลิงก็แจกแจงให้ฟังว่าอุปกรณ์อะไรที่อยู่ในบ้านจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ถ้าท่านเป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือ ท่านก็ต้องรู้จักรีวิวข้อดีข้อเสียของโทรศัพท์แต่ละรุ่นอย่างจริงใจ . . เพราะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเนื้อหา และถ้าเนื้อหาที่ท่านทำออกมานั้น สร้างประโยชน์ให้ผู้รับสารได้จริง เขาก็อยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของท่านโดยการแชร์ต่อให้คนรอบตัวได้รับรู้ และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือรอใช้บริการของท่านเมื่อมีโอกาส . . การถ่ายทอดเนื้อหาถ้าทำเป็นวิดีโอได้ก็ดี เพราะหนึ่งนาทีของวิดีโอแทนคำกว่าล้านคำ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวิดีโอเท่านั้น มีอีกหลายวิธีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ของท่านออกมาได้ ถ้าท่านถนัดเขียน ก็เขียนบทความออกมา ถ้าท่านถนัดอธิบายด้วยภาพก็ทำเป็น Infographic ถ้าท่านถนัดเล่าเรื่องก็ทำ Podcast เลือกเพียง 1 รูปแบบที่ท่านถนัดที่สุด ไม่ต้องไปทำตามคนอื่น เพราะท่านจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่สุด เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะกับท่าน และคนเราจะสร้างผลงานได้ในพื้นที่ที่ตนถนัดเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องสร้างลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง . . หมดยุคแล้วที่จะเก็บ หวง ครอบครององค์ความรู้ที่ท่านมี เพราะอินเตอร์เน็ตทำให้โลกนี้ไม่มีความลับอีกต่อไป ดังนั้นบริหารจัดการเนื้อหาให้ดี ว่าอะไรสมควรจะปล่อยไปในโลกออนไลน์ และอะไรจะดีกว่าถ้าถูกถ่ายทอดแบบออฟไลน์ . . คำถามสำคัญคือ เมื่อท่านส่งออกความรู้ที่ท่านมีออกไปฟรีๆ แล้วจะได้อะไรกลับมา ? คำตอบนี้มีอยู่แล้วในนิทานเซน เรื่อง “คนตาบอดถือโคมไฟ” . . มีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดและแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย เมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก . . คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก . . ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ชายที่ถือโคมไฟมีลักษณะเหมือนคนตาบอด พระจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?" . . คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร" . . พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?" คนตาบอดตอบว่า "เพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ" . . พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์" มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง" "ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ . . คนตาบอดอธิบายว่า เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย . . นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้” . . แล้วท่านล่ะ เริ่มเป็นผู้ให้หรือยัง ? . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP7 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอรรถวิท ปัญญาภิญโญผล ผู้ก่อตั้ง B.A.S. Academy ที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับองค์ความรู้ที่มี เพื่อเปลี่ยนนักเรียนที่ไม่ชอบวิชาชีวะให้มาตกหลุมรักกับวิชาชีวะอีกครั้ง . . #Speaker #DNAbySPU4 9 February 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP6 รู้อะไรไม่สู้...รู้จักตนเอง . . โลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเป็นฟันเพืองสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากความเจริญด้านวัตถุที่จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแล้ว วิธีคิดหรือนิยามความสำเร็จก็แปรเปลี่ยนไปด้วย . . ในโลกยุคเก่าการที่ผู้คนและธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยปัจจัยด้านเวลา ผสมคลุกเคล้ากับความมุมานะ ตั้งใจ อดทน และรอคอยเมื่อถึงเวลาอันสมควร ถึงจะได้รับโอกาสให้ยืนอยู่บนเวทีท่ามกลางแสงไฟ และถ้าผู้คนเหล่านั้นเป็นของจริง เขาจะวิ่งไปถึงเส้นชัย . . ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีคิดและสิ่งที่ดี เพราะความสำเร็จคงไม่มาถึงถ้าไร้ซึ่งความพยายาม แต่ในโลกยุคใหม่อาจจะไม่ทันการ เพราะมีเศรษฐีรุ่นใหม่ที่สร้างตัวตนได้ในเวลาไม่กี่เดือน สร้างความร่ำรวยได้ในเวลาไม่กี่ปี ทั้งๆ ที่ในโลกยุคก่อนอาจต้องใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิตถึงจะผลิกชีวิตได้ คำถามคือพวกเขาทำได้อย่างไร ? . . หากท่านมีเวลาอยากให้ลองศึกษาวิธีคิดของพวกเขาดู โดยจับแต่ละคนมายืนหน้ากระดานและลองศึกษาชีวิตพวกเขาแต่ละคนอย่างเจาะลึก แล้วท่านจะพบกับ “สูตรสำเร็จ” ที่คนสำเร็จมีคล้ายกัน . . คำว่าสูตรสำเร็จในที่นี้ไม่ใช่สูตร 1 2 3 เหมือนคอร์สมหัศจรรย์ที่ทุกท่านเคยเห็นกันทั่วไป แต่ประกอบด้วยสิ่งธรรมดาที่นิทานอีสปสอนเรามา คือ ความตั้งใจ และพรแสวง และอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกยุคนี้คือ “การรู้จักตนเอง” . . คนประสบความสำเร็จยุคใหม่ที่เป็นไอคอนของยุคสมัย ล้วนแต่รู้จักตนเองทั้งสิ้น และรู้ที่ทางของเขาว่าจะสร้างผลงานได้อย่างไร ? เหมือนนักแสดงภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ดที่รู้คาแรคเตอร์ของตนเอง และหยั่งรู้โดยธรรมชาติว่า บทบาทไหนควรจะรับเล่น และบทบาทใดจะดีกว่าถ้าตัวเขาไม่ได้แสดง . . เมื่อใดที่ท่านพาตัวเองไปยืนอยู่บนเวทีที่สมควร ท่านจะมีพลังงานสร้างสรรค์อย่างที่สุด ทำงานได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความทุ่มเทเต็มร้อย และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แต่ถ้าท่านยืนอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสมกับความสามารถท่าน แม้ปัญหาเท่าขี้ผง ท่านก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ . . ทุกท่านทราบดีว่า สตีฟ จ๊อบส์ เป็นคนคิดสินค้าที่เปลี่ยนโลก แต่จากปากคำของคนที่ทำงานร่วมกับเขา สตีฟ จ๊อบส์ มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีในระดับผู้ใช้งานเท่านั้น เป็นที่น่าสงสัยว่าหัวเรือใหญ่ของบริษัทสินค้าเทคโนโลยีกลับไม่ค่อยจะรู้เรื่องเทคโนโลยีได้ยังไง ? . . คำตอบอาจเป็นได้ว่า เขารู้ดีว่าเขาควรยืนอยู่ที่ใดและทำอะไร ? เขารู้ดีว่าเขาจะสร้างผลงานได้จากจุดแข็งเท่านั้น ป่วยการและเสียเวลาที่จะสร้างผลงานจากจุดอ่อน เขาจึงลงมือบริหารบริษัทและตัวตนโดยการไม่ไปนำทีมโปรแกรมเมอร์ให้คิดตามเขา แต่เขาตั้งคำถามให้โปรแกรมเมอร์คิดว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ยังไง ? . . หลายคนคิดว่ารู้จักตนเองดีแล้ว แต่ส่วนมากมักคิดผิด เพราะท่านไม่มีทางเห็นตัวเองได้ว่าท่านเก่งในด้านใด เสมือนท่านไม่ได้ส่องกระจกจะไม่มีทางเห็นเงาตนเอง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ฟังความเห็นจากคนรอบข้าง และเก็บเอามาคิดว่าคนรอบข้างท่านให้ความเห็นเชิงเยินยอหรือพูดความจริง . . ท่านเป็นนักทำหรือนักวางแผน ? ท่านเป็นผู้ที่เรียนรู้ด้วยการอ่านหรือการฟัง ? ท่านสร้างผลงานได้ดีเมื่อท่านทำงานคนเดียวหรือทำเป็นทีม ? เมื่อท่านฟังจากคนอื่นและเฝ้าสังเกตตนเองจนสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ . . ท่านจะตอบคำถามที่ใหญ่ที่สุดได้ว่า “ที่ทางของท่านในโลกใบนี้คือที่ใด ?” . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP6 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ตลาดดอทคอม TARAD.COM นักลงทุน และนายกสมาคม E-COMMERCE ที่มาชวนคิดให้เราใส่ใจในการทำ Business plan สิ่งที่หลายคนมองข้ามไป แต่เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ . . #Speaker #DNA4bySPU 26 January 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP5 บริหารแบรนด์เฉกเช่นบริหารความสัมพันธ์มนุษย์ . . ยุคนี้เป็นยุคสมัยที่ไม่ว่าจะซื้อของหรือหาของมาขายก็ง่ายพอกัน ดังนั้นในสมัยที่ใครๆ ก็สามารถขายของได้ ท่านจะสร้างความแตกต่างได้อย่างไร ? . . นั่นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ “แบรนด์” เป็นกลไกสำคัญของความสำเร็จ เพราะในกระบวนการ Blind test ลูกค้าแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าแต่ละสินค้า มีความแตกต่างกันในด้านใด ? แต่เมื่อไหร่ที่กลุ่มตัวอย่างแค่เห็นแบรนด์แว้บเดียวก็รู้สึกถึงความต่างได้ทันที . . แล้ว “แบรนด์” คืออะไร ? ถ้าถอดความตามพจนานุกรมแล้ว คำว่าแบรนด์เป็นภาษาต่างประเทศ เป็นการแปลมาจากคำว่า ตรา สัญลักษณ์ ในภาษาไทย ซึ่งรวมไปถึงรูปแบบ สี ตัวอักษรและบรรจุภัณฑ์ ดังนั้นคำว่าแบรนด์คงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่คงแปลว่า “ความทรงจำ” มากกว่า . . ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาที่ท่านรู้สึกไม่สบายปวดเนื้อเมื่อยตัว ทำไมท่านถึงเดินไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล ? เพราะท่านมีความทรงจำว่าคุณหมอมีความรู้และเชี่ยวชาญในชีววิทยาและศาสตร์การใช้ยา จนสามารถวินิจฉัยและจ่ายยาเพื่อบรรเทาอาการของท่านได้ . . ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและ Social Media ที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกือบทุกศาสตร์ในโลกต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อไม่ให้สูญหายไป ไม่เว้นแม้แต่วิธีคิดในการบริหารแบรนด์ . . ในสมัยก่อนตอนที่สื่อหลักเช่น โทรทัศน์ วิทยุและสิ่งพิมพ์ครองโลก การจะผลิตโฆษณาเพื่อการสื่อสารแบรนด์แต่ละชิ้นต้องใช้ขั้นตอนและเวลา ซึ่งขั้นตอนของการเสียเวลาเกือบทั้งหมดอยู่ที่การอนุมัติ ตรวจแล้วตรวจอีกไล่จากเจ้าหน้าที่ไปถึงผู้บริหาร ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีจุดผิด ถึงจะให้อนุมัติให้ออกอาร์ทเวิร์คได้ . . ในสมัยก่อนทำได้เพราะการจะออกสื่อแต่ละครั้งต้องใช้เวลาจองสื่อ ผลิต ถ่ายทำ ตัดต่อ ทุกขั้นตอนต้องทำอย่างดี แต่สมัยนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะการที่อุปกรณ์ผลิตสื่อทุกอย่างมาอยู่บนมือถือสมาร์ทโฟน ทำให้ความเร็วมีความสำคัญกว่าคุณภาพ . . ข่าวฮอตในนาทีนี้อีก 15 นาทีต่อมาก็ไม่ฮอตแล้ว ดังนั้นกลยุทธ์ในการแย่งชิงพื้นที่ข่าวที่ดีที่สุดคือ “นำกระแสนั้นมาให้เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์” และหากแบรนด์ใดมีความสามารถในการผสมเรื่องราวของตนเองเข้ากับกระแสได้เร็วกว่า สนุกกว่า สร้างสรรค์กว่า ก็ย่อมเป็นผู้ชนะในสนามแข่งความเร็วแห่งนี้ . . แต่การล้อกับกระแสด้วยความรวดเร็วก็มักจะมีข้อผิดพลาดตามมา ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ผิด ภาพไม่ชัด ตัดต่อไม่เนียน ลงวันที่หรือรายละเอียดไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับทีมการตลาดในสมัยก่อน แต่ในวันนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะเพียงแค่ยอมรับ ก้มหัวและกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ ชาวเน็ตก็พร้อมจะให้อภัยแล้ว . . แง่มุมในการบริหารแบรนด์เปลี่ยนไปแม้แต่ภาษาที่ใช้ แรกเริ่มเดิมทีแบรนด์ต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการดูเท่ห์ๆ คมๆ โทนเสียงหล่อสวย จนหลายครั้งสร้างความอึดอัดและน่ากลัวเพราะสุภาพเกินมนุษย์ แต่ตอนนี้เพจที่ได้รับความนิยมคือเพจที่ใช้ภาษาเฉพาะกลุ่ม จิกกัดให้พอแสบคันแต่ไม่ถึงขั้นพูดจาหยาบคาย . . นั่นเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า “ลูกค้ามองแบรนด์เสมือนมนุษย์คนหนึ่ง” ที่มีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่มีแต่เหตุผลและไร้อารมณ์ความรู้สึก ประกอบกับ Social Media ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อกับมนุษย์ด้วยกัน แสดงว่าการที่เขาเป็นเพื่อนกับแบรนด์ก็แสดงว่าเขาต้องการความสัมพันธ์ฉันท์มนุษย์ . . ดังนั้นถ้าแบรนด์มีตัวตนใน Social Media ก็ควรปฎิบัติตนเหมือนสิ่งมีชีวิต ที่รู้จักเห็นอกเห็นใจลูกค้า ไม่ใช่ทำตัวเหมือนจักรกลที่ไร้ชีวิตที่ทุกอย่างต้องทำตามกฏเพียงอย่างเดียว . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP5 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณมัญฑิตา จินดา ผู้อำนวยการฝ่าย Digital Marketing Workpoint Entertainment . . #Speaker #DNA4bySPU 26 January 2019 . . จัดทำโดยหลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP4 ดำดิ่งไปในจุดอ่อน จนกว่าจะพบจุดแข็ง . . ทุกคนทราบดีว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยก้าวไกลกว่าญี่ปุ่นเมื่อสมัยก่อน มีฐานเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก มีจำนวนคนที่มณฑลหนึ่งของเขามีเกือบเท่ากับเราทั้งประเทศ มีวัฒนธรรมที่ทั้งโลกต่างยกย่อง มีนักกีฬาที่ใครๆ ก็ชื่นชม . . แต่คำถามที่น่าสนใจคือ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้จีนยิ่งใหญ่ ? อะไรทำให้ไส้เดือนที่เพิ่งโผล่พ้นดินเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กลายเป็นมังกรทรงอำนาจที่สร้างความเกรียงไกรไปทุกที่ทั่วโลก ? . . ปัจจัยที่ทำให้ประเทศจีนยิ่งใหญ่ ไม่ใช่อำนาจทางทหาร ไม่ใช่จำนวนคน ไม่ใช่แผ่นดินสินแร่ ไม่ใช่ทรัพย์ในดินสินในน้ำ หาใช่อะไรที่เป็นจุดแข็งของประเทศเขาเหมือนที่เราทุกคนเข้าใจ . . เพื่อจะตอบคำถามนี้ขอย้อนไปในอดีตอันไกลโพ้นก่อน คงมีน้อยคนที่รู้ว่าจีนเคยเป็นชาติแห่งการประดิษฐ์คิดค้น นักประวัติศาสตร์คนสำคัญพบว่ามีสิ่งประดิษฐ์ 4 อย่างที่ถูกคิดค้นขึ้นในแผ่นดินจีน และเป็นต้นขั้วของเทคโนโลยีทั้งหลายที่ทำให้โลกมาถึงทุกวันนี้ . . 4 สิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ กระดาษ เทคนิคการพิมพ์ ดินปืน และเข็มทิศ กระดาษและเทคนิคการพิมพ์ ทำให้องค์ความรู้ในโลกเผยแพร่ส่งต่อให้กันได้ ดินปืนทำให้เกิดสงครามในเขตแดนจนกลายเป็นการรวมประเทศ เข็มทิศทำให้มนุษย์เดินทางท่องทะเลข้ามโลกได้โดยไม่ต้องอดตายอยู่กลางมหาสมุทร . . ในเมื่อประเทศจีนสามารถคิดค้นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ขยับเขยื้อนโลกออกมาได้ แต่ทำไมการปฎิวัติอุตสาหกรรมครั้งสำคัญของโลกไม่ได้เกิดที่จีนเลย ? . . คำตอบของคำถามอยู่ในประวัติศาสตร์ ภาพที่เราคุ้นชินกันในหนังจีน คือบัณทิตออกจากบ้านไปสอบจอหงวน ซึ่งเป็นการท่องจำวรรณกรรม เขียนเรียงความและแต่งบทกลอน . . บางท่านที่คุ้นเคยกับประเทศจีนคงนึกออกลางๆ ว่า ภาชนะแต่ละตัวในภาษาจีน จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับท่าทางของคนและสัตว์ ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าประเทศจีนเก่งในด้านภาษาศาสตร์และศิลปะ แต่ไม่มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ประเทศจีนทราบจุดอ่อนนี้ดีจึงทุ่มสรรพกำลังให้ชาวจีนเก่งเรื่องนี้ที่สุด ซึ่งก็ทำได้ดีจนหนังฝรั่ง สร้างภาพจำให้กับคนทั่วโลก โดยการให้บทบาทกับคนจีนเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ไม่ก็เป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีความคิดอ่านที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งพวกเราคงผ่านตากันมาแล้ว . . จีนซุ่มพัฒนาเรื่องนี้มาตลอดอย่างเงียบๆ จนวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่นับได้ว่าเป็นการ “เบิกเนตร” ชาวจีนอย่างแท้จริง คิอวันที่แชมป์โลกโกะพ่ายแพ้ให้กับสมองกล Alpha go โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ต้นแบบจาก Google . . ตอนนั้นผู้บริหารของทาง Google คงคิดจะโชว์ผลงานให้คนทั่วโลกและนักลงทุนได้เห็นศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ การแสดงครั้งนั้นโด่งดังไปทั่วโลกก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นหยุดโลก แย่งชิงพื้นที่ข่าวได้เล็กๆ น้อยๆ ถ้าเปรียบเทียบก็ยังสู้การเปิดตัวประเทศเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกไม่ได้ . . แต่หารู้ไม่ว่าการแสดงครั้งนั้นได้หยุดสายตา 280 ล้านคู่ในประเทศจีน และหนึ่งในนั้นคือสายตาของท่านประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของประเทศจีน ท่านรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้คล้ายๆ กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์จีน ที่ตอนนั้นจีนไม่เก่งวิทยาศาสตร์ ทำให้ประเทศอื่นแซงหน้าไปทำการปฎิวัติอุตสาหกรรมได้สำเร็จ . . ท่านผู้นำไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้อีกเป็นครั้งที่สอง โดยเฉพาะในสมัยที่ท่านกุมบังเหียนประเทศ ท่านผู้นำจึงใคร่ครวญ พิจารณาและวาดฝันว่าจะเป็นอย่างไร ? เมื่อ AI และ Big data กลายเป็นทรัพยากรสมัยใหม่ในโลก มีค่ามากกว่าทองคำ น้ำมันและถ่านหิน โดยทั้งหมดต้องตอบคำถามสำคัญคือ จะนำมันมาใช้ได้อย่างไร ? . . ทุกอย่างตกผลึกเป็นแผนการใหญ่ “AI 2030” เพราะท่านผู้นำ รัฐมนตรีและคณะทำงานคิดมาอย่างดีแล้วว่า AI นั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการปกครอง ประเทศจีนจึงทุ่มทุกสรรพกำลังที่มีเพื่อดึงดูด Start up และบุคคลหัวกะทิมาจากประเทศต่างๆ รวมถีงส่งเยาวชนจีนไปศึกษาเรื่องนี้ที่ต่างประเทศ และเรียกกลับมารับใช้บ้านเกิดในเวลาที่สมควร . . จะเห็นได้ว่า “แผนการใหญ่ AI 2030” แตกหน่อมาจากวัฒนธรรมหยิน-หยาง ที่สื่อสารว่าในขาวมีดำ ในร้อนมีเย็น ในจุดแข็งมีจุดอ่อน แต่จุดอ่อนไม่ใช่จุดอ่อนตลอดไป ถ้าเรามองว่าเป็นจุดจุดนั้น เป็นสิ่งที่รอการพัฒนาและเสริมประสิทธิภาพได้ . . จุดที่อ่อนที่สุดก็จะกลายเป็นจุดที่แข็งที่สุดได้นั่นเอง . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP4 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอาร์ม ตั้งนิรันดร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ "CHINA 5.0 : สีจิ้นผิง เศรษฐกิจยุคใหม่และแผนการใหญ่ AI" นับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ . . #Speaker #DNA4bySPU 26 January 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP3
FUTURE IS NOW ? . . คงไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า ทุกภาคส่วนของโลกใบนี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี . . เทคโนโลยีรุ่นที่สี่หรือ 4th Generation (4G) กำลังจะผ่านไปและมีเทคโนโลยีรุ่นที่ 5 หรือ 5th Generation เข้ามาเขย่าสังคมโลก ถีงแม้ชื่อรุ่นจะต่างกันแค่ 1 รุ่น แต่ความเร็วนั้นแตกต่างจากรุ่นที่สี่ถึงประมาณ 30-100 เท่าเลยทีเดียว . . ความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ประโยชน์ไม่ใช่แค่การอัพรูปใน Social Media หรือดาวน์โหลดคลิปจาก Youtube ได้เร็วขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคือทุกอุปกรณ์ในโลกนี้จะสามารถพูดคุยกันได้ หรือที่เรียกว่า “Internet of Things” . . ยุค Internet of Things คือช่วงเวลาที่อุปกรณ์ต่างๆ จะไม่ต้องถูกสั่งงานได้โดยมนุษย์อย่างเดียวอีกต่อไป ตู้เย็นที่บ้านจะสามารถสั่งไข่ไก่มาเติมให้เต็มตู้ได้เอง Tablet จะสั่งยานยนต์ไร้คนขับให้ออกมารับเจ้านาย วิศวกรโรงงานที่อาศัยอยู่กรุงเทพสามารถสั่งปิดเครื่องปรับอากาศที่เปิดทิ้งไว้ที่โรงงานสาขาเชียงใหม่ได้ คุณหมอที่โรงพยาบาลสามารถวินิจฉัยอาการคนไข้ในพื้นที่ห่างไกลได้ รัฐบาลและกสทช. เตรียมความถี่ไว้พร้อมแล้ว กลุ่มนายทุนหลายรายก็เตรียมสินค้าในคลังแล้วรอแค่ไฟเขียวอย่างเดียว . . เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าด้วยสปีดที่ไวเหลือเชื่อและวันพรุ่งนี้ก็จะเร็วขึ้นไปอีกแบบเท่าทวี มนุษย์ใช้งานเทคโนโลยีเพื่อสร้างประโยชน์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต การทำธุรกิจหรือการบริหารจัดการเพื่อดูแลตนเอง แต่เทคโนโลยีสำคัญที่สุดใช่หรือไม่ ? . . เทคโนโลยีถูกสร้างขึ้นมาบนโลกโดยมีจุดประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ถ้าเทคโนโลยีสูงขึ้นความเหลื่อมล้ำก็น่าจะลดลงตามจุดประสงค์ที่มันถูกคิดขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงทำไมความเหลื่อมล้ำยังคงมีอยู่ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในสังคมไทยแต่มีทุกหัวระแหงของสังคมโลก . . อุปสรรคสำคัญที่สกัดกั้นเป็น กขค หรือ ก้าง ขวาง คอ ให้สังคมโลกไม่ก้าวไปสู่ความเท่าเทียมมีด้วยกัน 3 ปัจจัย ดังนี้ . . ก= กฎหมาย ภาครัฐออกกฎหมายมาด้วยความตั้งใจที่ดี หวังจะควบคุมกฏเกณฑ์ทุกอย่างให้เป็นไปตามระเบียบ หารู้ไม่ว่ากฏหมายมีหน้าที่อีกอย่างคือคุมกำเนิด คุมกำเนิดผู้ประกอบการรายใหม่ไม่ให้เกิดขึ้นมา . . ประเทศเกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อ 30 ปีที่แล้วประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศยากจนที่ผ่านศึกสงครามแยกดินแดนมา อย่าว่าแต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเลย แม้แต่จะหาของกินให้อิ่มท้องก็ยากแล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ ภาครัฐเลยตัดสินใจลบกฎหมายหลายมาตราออก เพื่อให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้ . . การตัดสินใจดังกล่าวสร้างผลสืบเนื่องให้เกาหลีใต้พัฒนาจากหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาไม่ถึง 30 ปี . . ข = แข่งขัน การที่ธุรกิจจะเติบโตได้ แรงบันดาลใจที่ดีที่สุดคือการแข่งขัน เพราะไม่รู้ว่าคู่แข่งขันจะแซงหน้าเราเมื่อไหร่ เราเลยไม่สามารถหยุดวิ่งได้ . . Google Facebook Line Lazada คือตัวอย่างของกลุ่มทุนต่างชาติที่ได้ประโยชน์ในเชิงตัวเลขจากการทำธุรกิจในประเทศไทย แต่กลับไม่ได้จ่ายภาษีเพื่อตอบแทนแผ่นดินสักบาท หรือถ้าจ่ายก็น้อยมากจนไม่มีนัยยะสำคัญ ถ้าการแข่งขันเอื้อประโยชน์ต่อบางกลุ่ม ถ้ากฏกติกาไม่เท่าเทียม มีแต้มต่อให้กับผู้แข่งขันบางคน ใครล่ะอยากจะมาลงสนามเพื่อชิงชัย ? . . ค = คน เพราะเทคโนโลยีถูกใช้งานโดยคน ดังนั้นสิ่งที่ควรพัฒนาหาใช่เทคโนโลยีไม่ แต่เป็นความคิดของคนที่เป็นเจ้านายของอุปกรณ์เหล่านั้น เพราะนักกีฬาชั้นยอดต่อให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ ก็ยังมีฝีมือจัดจ้านอยู่ . . เรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของภาครัฐ แต่เราสามารถพัฒนาในปัจจัย ค = คนและความคิดได้ ดังนั้นเราต้องไม่หยุดนิ่ง ก้าวไปข้างหน้า เรียนรู้เทคโนโลยีในระดับผู้ใช้งานแต่ไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด . . เทคโนโลยีไม่ได้กำหนดอนาคต คนต่างหากเป็นผู้กำหนดอนาคต อยู่ที่เราแล้วว่าจะกำหนดอนาคตอย่างไร . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.3 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรมการคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ . . #Speaker #DNA4bySPU 26 January 2019 . . จัดทำโดยหลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำและเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP2
“อนาคตศาสตร์” . . ตอนนี้พวกเรายืนอยู่ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง คือช่วงเวลาที่ยากที่สุดและง่ายที่สุดในการทำธุรกิจ . . ที่บอกว่าง่ายที่สุดคือ สมัยก่อนกว่าจะผลิตสินค้าออกมาแต่ละชิ้นเพื่อจัดจำหน่าย ต้องมีกระบวนการที่ยุ่งยาก การประสานงานแต่ละขั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน ต้องใช้เอกสารมากมายในการดำเนินการ ซึ่งส่งผลไปถึงค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่สมัยนี้การหาสินค้ามาขายนั้นก็ไม่ได้ยากไปกว่าการซื้อสินค้ามาใช้เลย . . รวมไปถึงการผลิตชิ้นงานสื่อเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ สมัยก่อนอุปกรณ์ผลิตสื่อมีราคาแพงและถูกใช้โดยคนบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้พวกเขาสามารถเรียกค่าส่วนต่างที่มีราคาแพงในการผลิต แต่ตอนนี้อุปกรณ์ผลิตสื่อได้ถูกสรุปรวมมาอยู่ใน Smart Phone หมดแล้ว เคล็ดวิชาของคนโปรดักชั่น เช่น มุมกล้อง การถ่ายทำจนถึงการตัดต่อ ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป เพราะแทบจะทั้งหมดมีสอนอยู่ใน Youtube . . การสื่อสารผ่านทาง Mass Media ถ้าเมื่อก่อนต้องกำเงินเดินไปที่สื่อหลักๆ วางเงินจองและรอให้ถึงคิวที่จะได้ออกอากาศ และแน่นอนพื้นที่สื่อไม่ใช่พื้นที่ราคาถูก เวลาแค่15 วินาทีกลับมีราคาค่างวดที่แพงกว่ารถมอเตอร์ไซค์ระดับกลางๆ 1คัน แต่ตอนนี้โลกเรามีสิ่งที่เรียกว่า Social Media ที่จะทำให้การสื่อสารมีต้นทุนถูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ และถ้าท่านฝีมือเจ๋งจริง ทำคอนเทนต์ที่โดนจริงๆ คนทั่วประเทศจะรู้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน โดยไม่ต้องอาศัยต้นทุนแม้แต่บาทเดียว . . สิ่งต่างๆ ข้างต้นคือข่าวดี เพราะอินเทอร์เน็ตเปิดกว้างให้ทุกคนสามารถอยู่ในวงการธุรกิจได้ ไม่ปิดกั้นเหมือนสมัยก่อนที่คนทำธุรกิจมีแต่กลุ่มนายทุนรายใหญ่ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว . . แต่ข่าวดีก็ต้องมาคู่กับข่าวร้าย ยุคนี้เป็นยุคที่มีความยากทีสุดในการทำธุรกิจ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะผู้ประกอบการรายใหม่จะเกิดขึ้นมาและ Disrupt เราเมื่อไหร่ ? ดังที่นักการทหารชื่อดังกล่าวในยุคสงครามโลกครั้งที่สองไว้ว่า “ผู้ก่อการร้ายที่น่ากลัวที่สุดคือผู้ก่อการร้ายที่เรามองไม่เห็น เพราะเมื่อเรามองไม่เห็นเราจะออกแบบมาตรการรับมือได้อย่างไร ?” . . เรื่องเหล่านี้อยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด ลองสังเกตได้จากการอัพเดทแต่ละครั้งของอัลกอริทึมใน Social Media อย่าง Facebook ที่ใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้มีการ Update ทั้งแบบใหญ่และแบบย่อยมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ในเวลา 2-3 ปี มนุษย์อาจไม่มีความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แต่กับเทคโนโลยีที่ห่างกัน 2-3 ปีไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย . . และเชื่อแน่ว่าในการ Update แต่ละครั้ง จะมีกลุ่มคนที่สามารถเรียนรู้และประยุกต์ใช้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นแต้มต่อทางธุรกิจได้ แต่เรามีความเข้าใจเทคโนโลยีในระดับ “ผู้ใช้งาน” ไม่ได้ดำดิ่งลงลึกเหมือน “ผู้เชี่ยวชาญ” ถ้าเช่นนั้นนั้นเราจะต้องปฎิบัติตัวอย่างไรในยุคสมัยที่รักษาธุรกิจไว้ยากที่สุด ? . . ขออนุญาตมอบคาถาคุ้มกันในยุคสมัยใหม่ให้ท่านคือ “คิดใหม่ และ ทำใหม่” . . “คิดใหม่” ในที่นี้หมายถึงการขยายกรอบความคิดและมองไปที่นอกกรอบความสนใจของตัวเองบ้าง เพราะถ้าเรามัวแต่จ้องมองอยู่กับสิ่งที่เราสนใจ จะทำให้เรามีมุมมองแคบ ไม่รู้ว่าโลกไปถึงไหนและไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร . . “ทำใหม่” ไม่ได้หมายถึงการคิดผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ เพราะมันต้องอาศัยต้นทุนมหาศาล แต่หมายความถึงการทดลองกระบวนการใหม่ๆ วิธีคิดใหม่ๆ หรือหารูปแบบรายได้ใหม่ๆ ในสินค้าเดิม . . คิดใหม่เช่น “ธุรกิจเครื่องถ่ายเอกสาร” ที่มีราคาค่าเครื่องที่แสนแพงแต่ผลิตสินค้าที่ราคาถูกแสนถูก วงจรทั้งหมดไม่ได้เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งอย่าว่าแต่จะสร้างผลกำไรเลย แค่จะขายให้ได้สักเครื่องก็เป็นไปได้ยากแล้ว . . ผู้บริหารตระหนักถึงจุดอ่อนข้อนี้ดี จะให้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารรุ่นใหม่ที่ราคาถูกลงก็คงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เขาจึงตัดสินใจหันหัวเรือจากธุรกิจ “ขายขาด” มาเป็น “การเช่าซื้อ” โดยการออกระบบเช่าให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถนำเครื่องถ่ายเอกสารไปตั้งที่แหล่งชุมชนได้ แล้วก็แบ่งผลกำไรกัน ซึ่งวิธีการนี้มีข้อดีอยู่ 2 ข้อ นอกจากบริษัทสามารถปล่อยสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมายทางการตลาดแล้ว บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้จากการขายอะไหล่และบริการตรวจเช็ค ดูแลรักษาด้วย . . “คิดใหม่ ทำใหม่” แน่นอนว่าคาถานี้ไม่ใช่คาถาที่มาจากผู้มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ที่จะทำให้ธุรกิจท่านปลอดภัยโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่สามารถทำให้ท่านฉุกคิดอะไรได้ในแง่มุมว่า "เมื่อเราหยุดวิ่งเมื่อใด รู้ตัวอีกทีเราก็อาจโดนเเซงหน้าเสียเเล้ว" . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.2 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณ จิรยศ เทพพิพิธ Founder and CEO at Infofed.com มาบรรยายและแชร์มุมมองในการให้เราก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ กระแส E-sport ที่กำลังเริ่มต้นและอีกไม่นานจะทะยานด้วยความรวดเร็ว . . #Speaker #DNA4bySPU 19 January 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง #DNAjournal4 #EP1
“ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม เพียงแค่สร้างสวนดอกไม้” . . ผู้มีปัญญากล่าวไว้ว่า วันที่สำคัญและมีความหมายของชีวิตมีอยู่สองวัน วันแรกคือวันที่เราเกิดมาในโลกใบนี้ ส่วนวันที่สองคือวันที่เรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำอะไรให้กับโลกใบนี้ ? . . วันสำคัญวันแรกคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสืบค้น ส่วนวันสำคัญวันที่สองไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด ? เราจึงควรสงวนพลังงานและทรัพยากรส่วนหนึ่งไว้เพื่อรอแสงสว่างดังกล่าวมาตกกระทบตัวเรา และออกเดินทางในฐานะคนล่าฝัน . . แต่ถ้าการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะขับเคลื่อนพลังในกายท่านให้ออกเดินทาง กลายเป็นการตัดสินใจที่สร้างความเป็นห่วงให้คนรอบกายท่าน ท่านจะมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะยืนระยะนั้นได้หรือไม่ ? . . คนรอบตัวฉายภาพให้เห็นกำแพงอุปสรรคที่ขวางอยู่ตรงหน้า นักวิเคราะห์พร่ำบอกว่าถ้าจะเดินไปในเส้นทางนี้จะต้องเจอกับอะไร ? นักเทคนิคชี้ชัดว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว และท่านไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างบทวิเคราะห์บทนั้นได้เลย ด้านหนึ่งหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แต่อีกด้านก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าจะต้องตกหลุมพรางอย่างที่ทุกคนคาด . . หลักการตลาดในบทแรกๆ สอนเราว่าเป้าหมายทางการตลาดคือมนุษย์ทุกคนไม่ใช่ลูกค้า เราไม่สามารถขายสินค้าให้ทุกคน แต่ควรขายให้คนที่แบ่งปันคุณค่าและมุมมองเหมือนเรา คำสอนนี้เฉียบคมและมีคุณค่า แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือเราจะหาคนกลุ่มนั้นเจอได้อย่างไร ? . . เราใช้เวลาและทรัพยากรที่เรามีแปรเปลี่ยนไปเป็นสวิงเพื่อไล่จับผีเสื้อ เมื่อเราจับได้แล้วพอเวลาผ่านไปผีเสื้อตัวนั้นก็บินหนีไปตามธรรมชาติ ซึ่งมันก็เป็นวิธีหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน . . แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมอง ปรับวิธีคิดว่าแทนที่จะ “ไล่จับ” ผีเสื้อเราจะเปลี่ยนมา “ดึงดูด” ผีเสื้อแทนได้ไหม ? . . พวกเราทุกคนทำได้ง่ายๆ โดยการปรับวิธีคิดให้เหมือนกับ “การสร้างสวนดอกไม้” ค่อยๆ ปลูกอย่างตั้งใจ รดน้ำด้วยความใส่ใจและสรรหาดอกไม้ที่สวยงามมาปลูกเพิ่ม . วิธีการนี้อาจขาดซึ่งประสิทธิภาพในการทำยอดในช่วงเวลาสั้นๆ แต่วิธีนี้คือคำตอบของคำถามเรื่องความยั่งยืน เพราะผีเสื้อจะโบยบินมาเยือนที่สวนดอกไม้ของเราเอง และมีน้ำใจพอที่จะชวนเพื่อนของผีเสื้อมาด้วย เพราะคนที่มีคุณลักษณะเหมือนกัน รสนิยมแบบเดียวกัน มักจะทนแรงดึงดูดของสิ่งที่เหมือนกันไม่ได้ . . เราไม่มีทางล่วงรู้ว่าผีเสื้อตัวแรกจะโบยบินมาเมื่อไหร่ แต่ถ้าเขามาเยือนแล้วจงต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตร ทำให้ช่วงเวลานั้นมีความหมายสำหรับเขา ให้เขาจดจำ ถ้ามีโอกาสจงให้เกียรติเขาเสมือนเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ให้โอกาสเขาริเริ่มอะไรบางอย่าง และเมื่อเราให้ใจไปเขาก็คงไม่โหดร้ายที่จะไม่ให้ใจกลับมา . . และเมื่อได้ใจมาแล้วโปรดเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุด เพราะดวงใจเปรียบได้เหมือน “แก้ว” ถ้าเผลอทำหล่นแตกไป ถึงพยายามจะซ่อมแซมอย่างปราณีตอย่างไรก็ไม่มีวันหวนคืน . . #itsyouYOU . . หมายเหตุ 1. #DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลการบรรยายของ Speaker ในหลักสูตร #DNAbySPU 2. ข้อมูล EP.1 ต่อยอดจากการบรรยายของคุณอำนาจ รัตนมณี ผู้ก่อตั้งร้านหนังสือเดินทาง มาร่วมแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบและเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยและยุ่งยากเสมอไป แต่ทำให้สนุกได้ด้วยการทำตัวให้เรียบง่ายและเดินไปในอัตราความเร็วที่เหมาะสมกับตัวเอง . . #Speaker #DNA4bySPU 12 January 2019 . . จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU www.DNAbySPU.com ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง |
DNAbySPUหลักสูตรพัฒนาพันธุกรรม Archives
June 2019
Categories |